แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประกาศกระทรวงเกษตรเรื่องแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 (ประกาศ ณ วันที่ 28 ธันวาคม 2502)
ในจังหวัดที่ไม่มีประมงจังหวัด สรรพากรจังหวัดมีอำนาจร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดลงลายมือชื่อแทนกระทรวงเกษตรในสัญญาผูกขาดเก็บฟองเต่าและฟองกระทะเลตามกฎกระทรวงและประกาศกระทรวงเกษตรไม่ต้องมีใบมอบอำนาจต่างหากอีก เมื่อผู้ผูกขาดผิดสัญญา กระทรวงเกษตรย่อมมีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ.2505 จำเลยที่ 1 ได้รับประทานบัตรจากผู้ว่าราชการจังหวัดผู้แทนโจทก์ ให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิเก็บฟองเต่าและกระทะเลแต่ผู้เดียวในหมู่เกาะอาดัง เกาะราวี และเกาะลิเป๊ะ ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2505 ถึง วันที่ 30 มิถุนายน 2508 รวม 3 ปี ในการผูกขาดนี้จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญายอมชำระเงินอากรในการผูกขาดให้โจทก์ปีละ 4,333.34 บาท รวมเป็นเงิน 25,000 บาท โดยชำระปีละ 3 งวด โดยจำเลยที่ 1 สัญญาเพาะและปล่อยลูกเต่าทะเล ลูกกระทะเล 9,000 ตัว หากไม่ปฏิบัติตามให้ปรับตัวละ 10 บาท จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 ชำระค่าอากร 2 งวด นอกนั้นไม่ชำระเลยทั้งยังผิดสัญญาไม่ได้ปล่อยลูกเต่าทะเล ลูกกระทะเล 3,140 ตัว จะเสียค่าปรับ 31,400 บาท ค้างอากร 19,425 บาท รวมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ 10 ถึงวันฟ้อง 5,802.18 บาท เมื่อรวมกับค่าปรับแล้วเป็นเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระ 56,627.18 บาท โจทก์ทวงถามจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ชำระ ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองชำระ อากรดอกเบี้ย และค่าปรับ รวม 56,627.18 บาท กับดอกเบี้ยอีกร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้ชำระค่าอากร 2 ครั้ง 5,575 บาทจริงและปล่อยลูกเต่าและลูกกระทะเลไม่ครบจริง จำเลยที่ 2 รับว่าทำสัญญาค้ำประกันแต่วันเดียวกันนั้นเอง จำเลยที่ 2 บอกเลิกสัญญาค้ำประกัน และขอถอนการค้ำประกันไปแล้ว จำเลยที่ 1 ชำระค่าอากรปีที่ 2 งวดที่ 1 แล้วยังไม่ถึงกำหนดชำระงวดที่ 2 จำเลยที่ 1 ก็โอนสิทธิตามประทานบัตรและข้อผูกพันตามสัญญาผู้ขาดให้แก่นายสนิท อังโชติพันธ์ แล้ว จำเลยที่ 1 จึงพ้นความผูกพัน ความจริงจำเลยที่ 1 มิได้ผิดสัญญา โจทก์หรือผู้แทนโจทก์ต่างหากที่มิได้ปฏิบัติตามข้อผูกพัน โจทก์ไม่อยู่ในฐานะของผู้เสียหายที่จะถือเอาประโยชน์ตามข้อผูกพัน กับตัดฟ้องว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระค่าอากรและดอกเบี้ย และค่าปรับรวม 56,667.18 บาท กับดอกเบี้ยจากเงินต้นดังกล่าวในอัตราร้อยละ 10 ต่อปี (อ้างพระราชบัญญัติการประมงพ.ศ.2490 มาตรา 39) ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า ให้จำเลยทั้งสองชำระเงินอากรจำนวน25,227.18 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อปี และชำระค่าปรับ31,400 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี ดอกเบี้ยนี้ให้คิดตั้งแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะใช้ให้โจทก์เสร็จ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยตามประเด็นในฎีกาของจำเลยว่า
1. ฟังว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ถอนสัญญาค้ำประกันดังที่จำเลยฎีกา
2. จำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไข คือ ชำระค่าอากรที่ค้างอยู่เสียก่อน การโอนสิทธิหน้าที่ตามสัญญาไม่เกิดขึ้น
3. เรื่องอำนาจฟ้องนั้น แม้ตามสัญญาผูกขาดตามเอกสาร จ.1จะไม่มีใบมอบอำนาจจากโจทก์ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกับสรรพากรจังหวัดลงนามแทนโจทก์ก็ตาม แต่ในสัญญาฉบับนี้มีข้อความในตอนต้นว่า”หนังสือสัญญาฉบับนี้ ทำระหว่างกระทรวงเกษตร ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดสตูลและสรรพากรจังหวัดสตูล ในฐานะเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.2490 เป็นผู้แทน …” และในกฎกระทรวงฉบับที่ 8 (พ.ศ.2490) ว่าด้วยที่ว่าประมูลออกตามความในพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.2490 ข้อ 10 ก็ว่า “ให้ข้าหลวงประจำจังหวัดท้องที่เป็นผู้ลงลายมือชื่ออนุญาตในประทานบัตร ส่วนในสัญญาผูกขาดที่กระทรวงเกษตราธิการทำกับผู้รับอนุญาตนั้น ให้ข้าหลวงประจำจังหวัดท้องที่กับประมงจังหวัด หรือผู้รักษาการแทนเป็นผู้ลงลายมือชื่อแทนกระทรวงเกษตราธิการ แต่ถ้าจังหวัดใดไม่มีประมงจังหวัดหรือผู้รักษาการแทนก็ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.2490 เป็นผู้ลงลายมือชื่อร่วมกับข้าหลวงประจำจังหวัด” จังหวัดใดไม่มีประมงจังหวัด ก็มีประกาศกระทรวงเกษตร ลงวันที่ 28 ธันวาคม 2502 ให้สรรพากรจังหวัดเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ประกอบกับได้ความว่า เมื่อทำสัญญาผูกขาดรายนี้ การผูกขาดเก็บไข่เต่าในจังหวัดสตูลยังอยู่ในหน้าที่ของสรรพากร ศาลฎีกาเห็นว่า นายนอง ปานชู ปลัดจังหวัดซึ่งรักษาการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล กับนายผล ราชฤทธิ์ สรรพากรจังหวัดสตูลมีอำนาจลงนามในสัญญาผูกขาดตามเอกสาร จ.1 แทนโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ตามสัญญาดังกล่าวได้
พิพากษายืน