แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าเช่าซื้อคืนจากจำเลย 12,000 บาท จำเลยให้การว่าจำเลยมิได้ตกลงกับโจทก์ว่าจะเป็นผู้นำรถไปขายให้บุคคลภายนอก และจะชำระเงินที่โจทก์ส่งชำระแก่จำเลยแล้วให้โจทก์ การที่จำเลยฎีกาว่าข้อที่โจทก์อ้างมีข้อตกลงกันว่าจำเลยต้องคืนเงิน 12,000 บาทแก่โจทก์นั้นโจทก์นำสืบไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสัญญาเช่าซื้อ ข้อตกลงนี้ต้องทำเป็นหนังสือ มิฉะนั้นเป็นโมฆะ เป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากจำเลย ๑ คัน ชำระเงินค่าเช่าซื้อไปแล้ว ๖ งวด ๆ ละ ๒๐๐ บาทเป็นเงิน ๑๒,๐๐๐ บาท ต่อมาจำเลยขอนำรถคันนี้ไปขายให้บุคคลภายนอกเพื่อเอาเงินสดมาใช้เมื่อโอนทะเบียนขายได้แล้วจะนำเงิน ๑๒,๐๐๐ บาท ค่าเช่าซื้อมาคืนให้โจทก์แล้วไม่คืน ขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่าโจทก์ชำระเงินค่าเช่าซื้อเพียง ๕ เดือน ส่วนค่าเช่าซื้อเดือนที่ ๖ ไม่ชำระ โจทก์เป็นผู้ขอร้องจำเลยว่าจะหาคนมาซื้อรถ ขอลดเงินที่เหลือลงบ้างโดยหักเงินค่าเช่าซื้อที่ชำระไปแล้วออกเสีย จำเลยมิได้ตกลงจะเป็นผู้นำรถไปขายแก่บุคคลภายนอก และจะชำระเงินที่โจทก์ส่งชำระแก่จำเลยแล้วให้โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงิน ๑๒,๐๐๐ บาท และใช้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาข้อหนึ่งว่า ข้อที่โจทก์อ้างว่ามีข้อตกลงกันว่าจำเลยต้องคืนเงิน ๑๒,๐๐๐ บาทแก่โจทก์นั้น โจทก์นำสืบไม่ได้เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสัญญาเช่าซื้อ ข้อตกลงนี้ต้องทำเป็นหนังสือมิฉะนั้นเป็นโมฆะ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน