แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความจะระบุว่า ในกรณีจำเลยทั้งสี่ผิดนัดยอมชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากจำนวนที่ค้างชำระนับแต่วันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จ และจำเลยทั้งสี่ผิดนัด แต่เมื่อถึงวันนัดพร้อมโจทก์แถลงต่อศาลว่า จะให้โอกาสจำเลยทั้งสี่อีกครั้งโดยให้ชำระเงินส่วนค้างทั้งหมดแก่โจทก์ส่วนที่เหลือให้ชำระตามวันเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยมิได้แถลงขอให้จำเลยทั้งสี่ชำระดอกเบี้ยในยอดเงินที่ค้างชำระด้วย แสดงว่าโจทก์สละสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสี่ชำระดอกเบี้ยจากยอดเงินที่จำเลยทั้งสี่ผิดนัด ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์เคยแสดงเจตนาแก่จำเลยทั้งสี่ว่าติดใจจะเรียกร้องดอกเบี้ยส่วนนี้แต่อย่างใด จนกระทั่งจำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ทั้งหมดครบถ้วนตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสี่ชำระดอกเบี้ยดังกล่าวได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยทั้งสี่ชดใช้เงิน 1,010,000 บาทแก่โจทก์ ด้วยการผ่อนชำระเป็นรายเดือนเดือนละ 40,000 บาท ในปีแรก และเดือนละ 50,000 บาท ในปีต่อๆ ไป แต่จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ไม่ตรงตามระยะเวลาที่กำหนด โดยเพิ่งชำระงวดแรกเมื่อวันที่ 31 กรกฏาคม2540 ซึ่งตามสัญญาต้องชำระในวันที่ 31 พฤษภาคม 2540 โจทก์จึงขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี และศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2540 ผู้แทนโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ต่อมาในวันที่ 16ตุลาคม 2540 ซึ่งเป็นวันนัดพร้อม โจทก์และจำเลยทั้งสี่ตกลงกันโดยโจทก์ยอมให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ส่วนที่ค้างชำระอยู่ 160,000 บาท แก่โจทก์ภายในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2540ส่วนที่เหลือให้ชำระตามวันเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ หากผิดนัดยอมให้ขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น หลังจากนั้นจำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ครบถ้วนตามข้อตกลงและตามสัญญาประนีประนอมยอมความรวม 1,010,000 บาท ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดในวันที่ 15 สิงหาคม 2544
จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องขอให้งดการขายทอดตลาด
ศาลชั้นต้นนัดพร้อม ในวันดังกล่าวโจทก์แถลงว่า จำเลยทั้งสี่ยังค้างชำระดอกเบี้ยอีก 215,603.53 บาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การออกหมายบังคับคดีไม่ชอบให้เพิกถอนหมายบังคับคดี
โจทก์ขออนุญาตยื่นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ จำเลยทั้งสี่ไม่คัดค้านและศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ พออนุโลมได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสี่ชำระดอกเบี้ยจำนวน 215,603.53 บาทหรือไม่ โจทก์อ้างว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความระบุว่าเมื่อจำเลยทั้งสี่ผิดนัดยอมชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี การที่โจทก์แถลงต่อศาลในวันนัดพร้อมว่าโจทก์จะให้โอกาสจำเลยทั้งสี่อีกครั้งหนึ่ง แต่ต้องขอให้จำเลยทั้งสี่ชำระเงินที่ค้างทั้งหมดนั้นเป็นเพียงให้โอกาสจำเลยทั้งสี่ผ่อนชำระหนี้ต่อไปได้ โดยไม่ต้องชำระในคราวเดียวเท่านั้นหาได้งดไม่คิดดอกเบี้ยแก่จำเลยทั้งสี่นั้น เห็นว่า แม้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามข้อ 1จะระบุว่า ในกรณีจำเลยทั้งสี่ผิดนัดยอมชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากจำนวนที่ค้างชำระนับแต่วันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ปรากฏว่าโจทก์เคยแถลงต่อศาลชั้นต้นในวันนัดพร้อมเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2540 ว่า จะให้โอกาสจำเลยทั้งสี่อีกครั้งหนึ่งโดยให้จำเลยทั้งสี่ชำระเงินส่วนค้างทั้งหมดแก่โจทก์ ส่วนที่เหลือให้ชำระตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยมิได้แถลงขอให้จำเลยทั้งสี่ชำระดอกเบี้ยในยอดเงินที่ค้างชำระด้วย แสดงว่าโจทก์สละสิทธิในการเรียกร้องให้จำเลยทั้งสี่ชำระดอกเบี้ยจากยอดเงินที่จำเลยทั้งสี่ผิดนัดทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์เคยแสดงเจตนาแก่จำเลยทั้งสี่ว่าติดใจจะเรียกร้องดอกเบี้ยส่วนนี้แต่อย่างใด จนกระทั่งจำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ทั้งหมดครบถ้วนตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสี่ชำระดอกเบี้ยจำนวน 215,603.53 บาท ได้ดังอ้าง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า คำสั่งเพิกถอนหมายบังคับคดีของศาลชั้นต้นถูกต้องหรือไม่ เห็นว่า ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2540 และผู้แทนโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2540 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากจำเลยทั้งสี่ผิดนัดชำระหนี้ในงวดที่ 1 และที่ 2 ซึ่งต้องชำระในวันที่ 31 พฤษภาคม 2540 และ 30 มิถุนายน2540 แต่เพิ่งชำระงวดเดียวในวันที่ 31 กรกฎาคม 2540 เป็นกรณีจำเลยทั้งสี่ผิดนัดไม่ชำระหนี้รวม 2 งวด ซึ่งโจทก์มีสิทธิที่จะบังคับคดีได้ทันทีตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 1 การออกหมายบังคับคดีของศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลชั้นต้นจะเพิกถอนหมายบังคับคดีดังกล่าว คำสั่งเพิกถอนหมายบังคับคดีของศาลชั้นต้นจึงไม่ถูกต้อง แต่อย่างไรก็ตามเมื่อจำเลยทั้งสี่ชำระหนี้แก่โจทก์ครบถ้วนตามสัญญาประนีประนอมยอมความตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2542 โดยมิได้ผิดนัดตามรายงานเจ้าหน้าที่ฉบับลงวันที่ 6 สิงหาคม 2544 ถือว่าจำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ครบถ้วนตามคำพิพากษาแล้ว คงเหลือแต่เพียงค่าธรรมเนียมในการบังคับคดี ซึ่งเมื่อจำเลยทั้งสี่ผิดนัดเป็นเหตุให้โจทก์ต้องนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ จึงเห็นสมควรให้จำเลยรับผิดค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีคำสั่งของศาลชั้นต้นส่วนนี้ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า เมื่อจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เสียค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีแล้วให้ถอนการบังคับคดีต่อไป