คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1165/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้โจทก์อ้างสำเนาใบบันทึกรายการเป็นพยานโจทก์โดยไม่ได้ส่งต้นฉบับเอกสาร และในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างหรือแสดงให้เห็นว่าต้นฉบับเอกสารดังกล่าวหาไม่ได้เพราะสูญหายหรือถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัยหรือไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้เพราะเหตุประการใดก็ตามแต่ปรากฏว่า ก่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ 1 เดือนเศษ โจทก์ได้แถลงขอส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวต่อศาลและให้ฝ่ายจำเลยศาลชั้นต้นอนุญาตและมีการรับสำเนาไปแล้ว ต่อมาในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์นำสืบพยานบุคคล 1 ปาก และอ้างส่งเอกสาร 37 ฉบับ รวมทั้งเอกสารซึ่งเป็นสำเนาเอกสารด้วยแล้วโจทก์แถลงหมดพยาน แสดงว่าโจทก์สืบพยานเอกสารดังกล่าว เสร็จแล้ว แต่จำเลยซึ่งโจทก์อ้างเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐาน ยันตนก็หาได้คัดค้านการที่โจทก์นำสำเนาเอกสารดังกล่าวมา สืบว่าสำเนาเอกสารดังกล่าวไม่ถูกต้องกับต้นฉบับเสียก่อนที่ โจทก์จะสืบพยานเอกสารดังกล่าวเสร็จตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 แม้ภายหลัง ต่อมาจำเลยจะยื่นคำร้องคัดค้านการที่โจทก์อ้างสำเนาเอกสาร จำเลยก็กล่าวอ้างแต่เพียงว่าศาลควรจะรับฟังเฉพาะต้นฉบับเอกสาร เอกสารที่โจทก์อ้างเป็นเพียงสำเนารับฟังไม่ได้เท่านั้น มิได้คัดค้านโดยตรงว่าสำเนาเอกสารดังกล่าวไม่ถูกต้อง ตรงกับต้นฉบับ ทั้งไม่ได้ระบุถึงสาเหตุที่จำเลยไม่อาจคัดค้านได้ ก่อนที่โจทก์จะสืบพยานเอกสารนั้นเสร็จตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 วรรคสองถือว่าจำเลยมิได้คัดค้านการอ้างสำเนาเอกสารโดยชอบตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 วรรคหนึ่งและวรรคสอง จึงห้ามมิให้จำเลยคัดค้านความถูกต้องของสำเนาเอกสารนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 125 วรรคสาม ดังนี้ ศาลย่อมรับฟังสำเนาเอกสารดังกล่าว เป็นพยานหลักฐานแทนต้นฉบับได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาใช้บัตรเครดิตวีซ่ากับโจทก์ โจทก์มอบบัตรเครดิตวีซ่าและรหัสประจำตัวเฉพาะให้แก่จำเลยเป็นสมาชิกบัตรเลขที่ 4599-4000-0000-7618 ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นบัตรสมาชิกเลขที่ 4599-4085-0051-5006 จำเลยได้นำบัตรเครดิตวีซ่าไปใช้เบิกเงินสดและชำระหนี้ค่าสินค้าค่าบริการต่าง ๆ นับตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2532 เมื่อมีการเรียกเก็บเงินอันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตวีซ่าของจำเลยโจทก์ได้จ่ายเงินไปก่อนทุกครั้งและได้ส่งใบแจ้งยอดรายการใช้บัตรเครดิตวีซ่าให้แก่จำเลยทราบ ปรากฏว่าจำเลยไม่นำเงินเข้าบัญชีของจำเลยเพื่อให้โจทก์หักถอนเงินชำระหนี้ให้แก่โจทก์จำเลยผิดสัญญาการใช้บัตรเครดิตวีซ่า โจทก์ซึ่งใช้สิทธิยกเลิกและระงับการใช้บัตรเครดิตวีซ่าของจำเลย โจทก์ได้ส่งใบแจ้งยอดหนี้ที่ค้างชำระเพื่อให้จำเลยนำเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามสัญญา แต่จำเลยไม่เคยนำเงินเข้าบัญชีทำให้โจทก์เสียหายขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 22,159.41 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ในต้นเงิน 12,607.40 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยขอใช้บัตรเครดิตวีซ่ากับธนาคารศรีนครจำกัด และได้ชำระหนี้ให้ธนาคารดังกล่าวแล้ว จำเลยไม่เคยเป็นคู่สัญญากับโจทก์ โจทก์ไม่เคยส่งใบแจ้งยอดหนี้ให้จำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี โจทก์ไม่เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 15,830 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 10,830 บาทนับแต่วันที่ 22 กันยายน 2538 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง ส่วนในประเด็นว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์หรือไม่วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นรับฟังสำเนาเอกสารหมาย จ.8 ถึง จ.14เป็นพยานหลักฐานไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 93 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยเฉพาะข้อกฎหมายว่าการที่ศาลชั้นต้นรับฟังสำเนาในบันทึกรายการเอกสารหมาย จ.8ถึง จ.14 เป็นพยานหลักฐานขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 93 หรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์อ้างสำเนาใบบันทึกรายการตามเอกสารหมาย จ.8 ถึง จ.14 เป็นพยานโดยไม่ได้ส่งต้นฉบับเอกสารดังกล่าว และในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างหรือแสดงให้เห็นว่าต้นฉบับเอกสารดังกล่าวหาไม่ได้เพราะสูญหายหรือถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัยหรือไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้เพราะเหตุประการใดก็ตาม แต่ปรากฏตามสำนวนคดีนี้ว่า เมื่อวันที่7 ธันวาคม 2538 ก่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ 1 เดือนเศษ โจทก์ได้แถลงขอส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวต่อศาลและให้ฝ่ายจำเลย ศาลชั้นต้นอนุญาตและมีการรับสำเนาไปแล้วเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2538 ต่อมาในวันนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 31 มกราคม 2539 โจทก์นำสืบพยานบุคคล1 ปาก และอ้างส่งเอกสาร 37 ฉบับ รวมทั้งเอกสารหมาย จ.8ถึง จ.14 ซึ่งเป็นสำเนาเอกสารด้วย แล้วโจทก์แถลงหมดพยานแสดงว่าโจทก์สืบพยานเอกสารดังกล่าวเสร็จในวันที่ 31 มกราคม 2539แต่จำเลยซึ่งถูกโจทก์อ้างเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานยันตนก็หาได้คัดค้านการที่โจทก์นำสำเนาเอกสารดังกล่าวมาสืบว่าสำเนาเอกสารดังกล่าวไม่ถูกต้องกับต้นฉบับเสียภายในระยะเวลาก่อนที่โจทก์จะสืบพยานเอกสารดังกล่าวเสร็จตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 แม้ต่อมาวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2539จำเลยจะยื่นคำร้องคัดค้านการที่โจทก์อ้างสำเนาเอกสารหมาย จ.8ถึง จ. 35 จำเลยก็กล่าวอ้างเพียงว่าศาลจะรับฟังเอกสารเป็นพยานได้แต่ต้นฉบับ เอกสารที่โจทก์อ้างเป็นเพียงสำเนาเอกสารรับฟังไม่ได้เท่านั้น ไม่ได้คัดค้านโดยตรงว่าสำเนาเอกสารดังกล่าวไม่ถูกต้องตรงกับต้นฉบับ ทั้งไม่ได้ระบุถึงสาเหตุที่จำเลยไม่อาจคัดค้านได้ก่อนที่โจทก์จะสืบพยานเอกสารนั้นเสร็จตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 วรรคสองจึงถือว่าจำเลยไม่ได้คัดค้านการอ้างสำเนาเอกสารหมาย จ.8 ถึง จ.14 โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง จึงห้ามมิให้จำเลยคัดค้านความถูกต้องของสำเนาเอกสารนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 วรรคสาม ดังนี้ ศาลย่อมรับฟังสำเนาเอกสารหมาย จ.8 ถึง จ.14 เป็นพยานหลักฐานแทนต้นฉบับได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 ที่ศาลชั้นต้นรับฟังสำเนาเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานประกอบการวินิจฉัยข้อเท็จจริงจึงหาขัดต่อบทกฎหมายดังกล่าวไม่และคดีนี้มีทุนทรัพย์เพียง 22,159.41 บาท ต้องห้ามอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นเป็นหนี้โจทก์และพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้และดอกเบี้ยแก่โจทก์ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share