คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1164/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์จดทะเบียนประกอบการค้าไว้ในฐานะผู้นำเข้าและผู้ผลิตก็ตามแต่เมื่อได้ความว่าโจทก์นำวัตถุดิบต่าง ๆ เข้ามาเพื่อใช้ผลิตเป็นสินค้าเพื่อขาย มิได้นำมาเพื่อขายในขณะที่เป็นวัตถุดิบ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ประกอบการค้าตามความหมายในประมวลรัษฎากร มาตรา 77 คือโจทก์ไม่ต้องเสียการค้าตามที่ระบุไว้ในบัญชีอัตราภาษีการค้าและรายการที่ประกอบการค้าตามมาตรา 78 วรรคแรก และโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าในกรณีที่ให้ถือว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้นำเข้าเป็นผู้ประกอบการค้าตามมาตรา 78 วรรคสอง (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1606/2512) และเมื่อโจทก์มิได้เป็นผู้ประกอบการค้าวัตถุดิบต่าง ๆ เพื่อขายโดยเฉพาะ ก็จะถือว่าการที่โจทก์นำวัตถุดิบต่าง ๆ เข้ามาเพื่อใช้ผลิตสินค้าเป็นการขายสินค้าตามมาตรา 79 ทวิ (3) ไม่ได้ด้วย โจทก์จึงไม่ต้องเสียภาษีการค้าสำหรับวัตถุดิบในฐานะผู้นำเข้า
โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าสำหรับวัตถุดิบที่นำเข้า แต่โจทก์ได้นำส่งเงินเป็นภาษีการค้าสำหรับวัตถุดิบที่นำเข้านั้นไว้ต่อกรมสรรพากรจำเลย ดังนี้ถือว่าโจทก์ได้ชำระไปโดยการเก็บภาษีการค้าของจำเลยซึ่งเป็นการเก็บโดยอาศัยกฎหมายบัญญัติให้เก็บ หาใช่เก็บโดยไม่มีมูลที่จะอ้างได้ตามกฎหมายไม่ จึงไม่อยู่ในลักษณะลาภมิควรได้ ทั้งกรณีเช่นนี้ไม่มีการประเมินเรียกเก็บ โจทก์จึงไม่ต้องอุทธรณ์การประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกคืนเงินภาษีการค้าที่ชำระไปได้ภายในอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 และเมื่อมิใช่ลาภมิควรได้กรณีจึงไม่เข้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 412, 419 กรมสรรพากรจำเลยจึงจะอ้างว่ากรณีที่โจทก์ชำระไปแล้วเป็นรายได้ของรัฐ รัฐได้ใช้จ่ายหมดไปทุกปีตามงบประมาณโดยสุจริตไม่มีสิทธิเรียกคืนหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์นำวัตถุดิบเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อใช้ผลิตสินค้าเพื่อขาย และโจทก์ได้นำส่งภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาลรวม ๑,๕๖๔,๗๒๕ บาท ๒๔ สตางค์ โจทก์เห็นว่าโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าสำหรับวัตถุดิบดังกล่าว จึงมีหนังสือขอคืนจากจำเลย แต่จำเลยบ่ายเบี่ยง จึงขอให้จำเลยคืนเงินภาษีดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันที่โจทก์ยื่นคำร้องขอคืนจนถึงวันชำระ
จำเลยให้การว่า ที่โจทก์ชำระค่าภาษีไปนั้นเป็นการชอบด้วยกฎหมาย และภาษีที่ชำระไปแล้วย่อมเป็นรายได้ของรัฐ และรัฐได้ใช้จ่ายหมดไปแล้วโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกคืน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินภาษีตามฟ้องพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์อุทธรณ์ว่าต้องคิดดอกเบี้ยนับแต่วันจำเลยผิดนัด
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า กรณีของโจทก์เป็นลักษณะลาภมิควรได้แต่คดีไม่ขาดอายุความ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า สินค้าต่าง ๆ ที่โจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นวัตถุดิบทั้งหมดตรงตามบัญชีท้ายฟ้อง และโจทก์ได้นำส่งเงินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเป็นเงิน ๑,๕๖๔,๓๒๕ บาท ๒๔ สตางค์ และวินิจฉัยว่าปัญหาว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าซึ่งจะต้องเสียภาษีการค้าสำหรับวัตถุดิบในฐานะนำเข้าตามประมวลรัษฎการหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าแม้โจทก์จะได้จดทะเบียนประกอบการค้าไว้ในฐานะผู้นำเข้าและผู้ผลิตไว้ก็ตาม แต่เมื่อคดีฟังได้ว่าโจทก์ได้นำวัตถุดิบต่าง ๆ เข้ามาเพื่อใช้ผลิตเป็นสินค้าอนามัยภัณฑ์สำหรับสตรีเพื่อขาย มิได้นำมาเพื่อขายในขณะที่เป็นวัตถุดิบ เช่นนี้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ประกอบการค้าตามความหมายในประมวลรัษฎากร มาตรา ๗๗ คือโจทก์ไม่ต้องเสียกาษีการค้าตามที่ระบุไว้ในบัญชีอัตราภาษีการค้าและรายการที่ประกอบการค้าตามมาตรา ๗๘ วรรคแรก และโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าในกรณีที่ให้ถือว่า โจทก์ซึ่งเป็นผู้นำเข้าเป็นผู้ประกอบการค้าตามมาตรา ๗๘ วรรคสอง โดยนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๖๐๖/๒๕๑๒ ระหว่าง บริษัทกระเบื้อง กระดาษไทย จำกัด โจทก์ กรมสรรพากรกับพวก จำเลย และกรณีนี้เมื่อฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าวัตถุดิบต่าง ๆ เพื่อขายโดยเฉพาะ ก็จะถือว่าการนำวัตถุดิบต่าง ๆ เข้ามาเพื่อใช้ผลิตเป็นอนามัยภัณฑ์สำหรับสตรีเป็นการขายสินค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๗๙ ทวิ (๓) ไม่ได้ด้วย คำพิพากษาฎีกาที่จำเลยอ้างรูปเรื่องไม่ตรงคดีนี้ เหตุนี้โจทก์จึงไม่ต้องเสียภาษีการค้าสำหรับวัตถุดิบในฐานะผู้นำเข้าดังที่จำเลยอ้าง
ปัญหาสุดท้ายมีว่า โจทก์มีสิทธิเรียกภาษีตามฟ้องคืนหรือไม่ เห็นว่าภาษีรายนี้เป็นภาษีที่ไม่มีการประเมินเรียกเก็บ โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้า แต่โจทก์ได้ชำระไปโดยการเก็บภาษีการค้าของจำเลยซึ่งเป็นการเก็บโดยอาศัยกฎหมายบัญญัติให้เก็บหาใช่เก็บโดยไม่มีมูลที่จะอ้างได้ตามกฎหมายไม่ จึงไม่อยู่ในลักษณะเป็นลาภมิควรได้ เมื่อเป็นกรณีที่ไม่มีการประเมินเรียกเก็บ โจทก์จึงไม่ต้องอุทธรณ์การประเมินเรียกเก็บนั้นตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๓๐ โจทก์มีอำนาจเรียกภาษีตามฟ้องคืนได้ภายในอายุความ ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔ จำเลยจึงต้องคืนเงิน ๑,๖๕๔,๗๒๕ บาท ๒๔ สตางค์ตามฟ้องแก่โจทก์ เมื่อมิใช่เป็นลาภมิควรได้ กรณีจึงไม่เข้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๑๒ และมาตรา ๔๑๙ และจำเลยจะอ้างว่าภาษีที่ชำระไปแล้วย่อมเป็นรายได้ของรัฐ และรัฐได้ใช้จ่ายรายได้นี้หมดไปแล้วทุกปีตามงบประมาณโดยสุจริต โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกคืนหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้คืนเงินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลแก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share