คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7186/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อทราบว่ารถยนต์บรรทุกสิบล้อของกลางถูกนำไปใช้ในการกระทำความผิดต่อกฎหมายจนถูกจับกุม และถูกพนักงานสอบสวนยึดไว้เป็นของกลาง แต่ยังคงทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้เช่าซื้อดำเนินการขอรับรถยนต์บรรทุกสิบล้อของกลางคืนจากพนักงานสอบสวน โดยมิได้บอกเลิกสัญญาแก่ผู้เช่าซื้อรวมทั้งยังคงรับชำระค่าเช่าซื้อภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ริบรถยนต์บรรทุกสิบล้อของกลางแล้ว ตามพฤติการณ์ดังกล่าวของผู้ร้องย่อมเห็นได้ว่าการที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์บรรทุกสิบล้อของกลางน่าจะเป็นไปเพื่อผลประโยชน์แก่ผู้เช่าซื้อที่จะผ่อนชำระค่าเช่าซื้อต่อไปและได้รับรถยนต์บรรทุกสิบล้อของกลางไปจากผู้ร้องในภายหลัง ซึ่งมีลักษณะเป็นการร่วมรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยลูกจ้างผู้เช่าซื้อ ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอคืนรถยนต์บรรทุกสิบล้อของกลาง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติทางหลวงฯ และริบรถยนต์บรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน81-7781 สระบุรี ของกลาง

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกสิบล้อยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน 81-7781 สระบุรี ของกลาง ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ขอให้ศาลสั่งคืนรถยนต์บรรทุกสิบล้อของกลางแก่ผู้ร้อง

โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ รถยนต์บรรทุกสิบล้อของกลางและผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิด ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้คืนรถยนต์บรรทุกสิบล้อของกลางยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน 81-7781 สระบุรี ให้แก่ผู้ร้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างผู้เช่าซื้อหรือไม่ ผู้ร้องมีนายชวลิต บุญยงค์ ผู้รับมอบอำนาจจากผู้ร้องเบิกความว่าหลังจากผู้เช่าซื้อทำสัญญาเช่าซื้อและรับรถยนต์บรรทุกสิบล้อของกลางไปจากผู้ร้องแล้ว ผู้เช่าซื้อได้ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่ผู้ร้อง 24 งวด เป็นเงิน1,210,656 บาท และผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 25 โดยยังค้างชำระค่าเช่าซื้อ 605,328 บาท ตามบัญชีชำระค่าเช่าซื้อเอกสารหมาย ร.5ผู้ร้องเพิ่มทราบเรื่องรถยนต์บรรทุกสิบล้อที่ให้เช่าซื้อของกลางถูกเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรตำบลกลางดงยึดไว้เมื่อเดือนมกราคม2540 เนื่องจากผู้เช่าซื้อมีหนังสือถึงผู้ร้องขอหนังสือมอบอำนาจจากผู้ร้องเพื่อขอรับรถยนต์บรรทุกสิบล้อของกลางคันดังกล่าวคืนจากพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรตำบลกลางดง และเบิกความตอบคำถามค้านว่าในกรณีผู้เช่าซื้อผิดสัญญาผู้ร้องจะพิจารณาประวัติการชำระเงินของผู้เช่าซื้อเป็นสำคัญ หากผู้เช่าซื้อมีประวัติการชำระเงินดี ผู้ร้องก็จะให้เช่าซื้อต่อไปเห็นว่า ผู้ร้องทราบว่ารถยนต์บรรทุกสิบล้อของกลางถูกนำไปใช้ในการกระทำความผิดต่อกฎหมายจนถูกจับกุม และถูกพนักงานสอบสวนยึดไว้เป็นของกลาง แต่ก็ยังคงทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้เช่าซื้อดำเนินการขอรับรถยนต์บรรทุกสิบล้อของกลางคืนจากพนักงานสอบสวน โดยมิได้ดำเนินการบอกเลิกสัญญาแก่ผู้เช่าซื้อ นอกจากนี้ที่ผู้ร้องอ้างว่าผู้เช่าซื้อได้ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่ผู้ร้อง 24 งวด แต่เมื่อพิจารณาจากบัญชีชำระค่าเช่าซื้อเอกสารหมายร.5 ปรากฏว่าการชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 18 ถึง 24 รวมทั้งสิ้น 7 งวด เป็นการชำระภายหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ริบรถยนต์บรรทุกสิบล้อของกลางแล้ว แต่ผู้ร้องยังคงรับชำระค่าเช่าซื้อจากผู้เช่าซื้อต่อมาอีกตามพฤติการณ์ดังกล่าวของผู้ร้องย่อมเห็นได้ว่า การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์บรรทุกสิบล้อของกลางน่าจะเป็นไปเพื่อผลประโยชน์แก่ผู้เช่าซื้อที่จะผ่อนชำระค่าเช่าซื้อต่อไปและได้รับรถยนต์บรรทุกสิบล้อของกลางไปจากผู้ร้องในภายหลังซึ่งมีลักษณะเป็นการร่วมรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยลูกจ้างผู้เช่าซื้อ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนรถยนต์บรรทุกสิบล้อของกลาง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้คืนรถยนต์บรรทุกสิบล้อของกลางให้แก่ผู้ร้องนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง

Share