แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเขียนเช็คพิพาทสั่งจ่ายเงินให้ในนามของโจทก์หรือผู้ถือ ต่อมาโจทก์สลักหลังเช็คพิพาทแล้วมอบให้ ป. เป็นผู้รับเงิน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินป.จึงคืนเช็คพิพาทให้โจทก์ ดังนี้ แม้โจทก์จะโอนสิทธิรับเงินให้ ป. ไปแล้วก็ตาม แต่เช็คพิพาทมีคำจดแจ้งว่าหรือให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ เมื่อเช็คพิพาทกลับคืนมาอยู่กับโจทก์อีก โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยฐานเป็นผู้ถือ จำเลยลงลายมือชื่อในเช็ค จึงต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คพิพาท
ความเสียหายอันเกิดจากผู้ทรงไม่นำเช็คไปขึ้นเงินต่อ ธนาคารภายในกำหนดตามมาตรา 990 นั้น หมายถึงผู้สั่งจ่ายเสียเงินที่มีอยู่ในธนาคาร เพราะการที่ผู้ทรงเช็คไม่นำเช็คไปขึ้นเงินภายในกำหนดเช่นธนาคารล้มละลายเป็นต้น ถ้าหากผู้สั่งจ่ายไม่เสียหายดังกล่าวนี้แล้ว ผู้ทรงเช็คก็เรียกเงินตามเช็คต่อผู้สั่งจ่ายได้(วินิจฉัยตามฎีกาที่ 1865/2492)
การชำระค่าอ้างเอกสารนั้น กฎหมายเพียงแต่กำหนดให้มีหน้าที่ชำระตั้งแต่เมื่อส่งเอกสารเป็นต้นไป มิใช่ว่าหากไม่ชำระค่าอ้างเอกสารทันทีแล้วจะรับฟังเอกสารนั้น ๆไม่ได้ ผู้ร้องย่อมมีโอกาสเสียได้เสมอก่อนที่ศาลจะพิพากษา
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเขียนเช็คสั่งจ่ายเงินให้ในนามของโจทก์หรือผู้ถือ ต่อมาโจทก์เอาเช็คนี้เข้าบัญชีของนายประพันธ์ พรพิพัฒน์นานนท์ เพื่อเรียกเก็บเงินจากธนาคาร แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินพร้อมกับคืนเช็คกลับมา โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยใช้เงินตามเช็คแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้บังคับจำเลยใช้เงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้โจทก์ในฐานะตัวแทนของนายประพันธ์ พรพิพัฒนานนท์ เป็นการชำระหนี้ตามสัญญาจะโอนกิจการสถานอาบอบนวด ต่อมาโจทก์ในฐานะตัวแทนของนายประพันธ์ก็ได้รับเงินสดตามจำนวนในเช็คไปจากจำเลยแล้ว ส่วนเช็คพิพาทรายนี้ตกลงกันให้ถือเป็นการชำระหนี้ตามสัญญางวดสุดท้าย แต่ก่อนถึงกำหนดชำระตามสัญญา จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าตึกที่รับโอนกิจการมา จำเลยจึงโทรศัพท์ไปหาโจทก์และนายประพันธ์ให้จัดการทำสัญญาเช่าตึกที่โอนกิจการนั้นให้เรียบร้อยตามสัญญา และขอให้คืนเช็คพิพาท เมื่อโจทก์และนายประพันธ์ไม่ยอมมาพบ จำเลยจึงมีหนังสือถึงนายประพันธ์บอกเลิกสัญญา กับขอคืนเช็คพิพาท เมื่อโจทก์ได้รับเงินตามเช็คพิพาทไปจากจำเลยและจำเลยบอกเลิกสัญญาแล้ว เช็คพิพาทจึงไม่มีมูลหนี้ที่โจทก์หรือนายประพันธ์จะเรียกร้องเอาจากจำเลยได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า โจทก์กับนายประพันธ์เป็นหุ้นส่วนกันในกิจการสถานอาบอบนวด การที่จำเลยออกเช็คให้โจทก์จึงมีมูลหนี้ต่อกัน และจำเลยออกเช็คให้โจทก์โดยไม่มีข้อความว่าโจทก์รับเช็คไว้แทนใคร เมื่อเป็นเช็คขีดคร่อมเอาเข้าบัญชีนายประพันธ์เรียกเก็บเงินไม่ได้ แล้วคืนให้โจทก์ โจทก์ย่อมเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทชอบด้วยกฎหมายพิพากษาให้จำเลยใช้เงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาว่า คดีมีข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่าจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อในเช็คพิพาท และปรากฏตามเช็คพิพาทว่า “จ่ายคุณรังสรรค์ ธีรชัย(โจทก์) หรือผู้ถือ” ดังนี้ เห็นได้ว่าเช็คพิพาทนั้นผู้สั่งจ่ายประสงค์สั่งจ่ายให้โจทก์โดยตรงหรือยอมจ่ายให้แก่ผู้ถือด้วย จึงไม่ได้ขีดฆ่าคำว่า “ผู้ถือ” ออก ดังนั้น แม้โจทก์จะได้สลักหลังเช็คพิพาทให้นายประพันธ์ไปเป็นผู้รับเงิน โดยถือว่าโจทก์โอนการรับเงินให้นายประพันธ์แล้ว ดังข้อโต้เถียงของจำเลยก็ดีแต่เช็คพิพาทมีคำจดแจ้งว่า หรือให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ เมื่อเช็คพิพาทกลับคืนมาอยู่กับโจทก์อีก โจทก์เป็นผู้ครอบครองหรือเป็นผู้ถือเช็ค ฉะนั้น โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทในฐานะเป็นผู้ถือเช็คพิพาท ตามมาตรา 904 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อในเช็ค จะต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คพิพาทตามมาตรา 900 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นายประพันธ์หาจำต้องสลักหลังโอนคืนให้โจทก์อีกไม่ ที่จำเลยออกเช็คนี้จำเลยก็ยอมรับว่าได้สั่งจ่ายให้โจทก์จริง แต่อ้างว่าสั่งจ่ายให้โจทก์ในฐานะตัวแทนของนายประพันธ์เป็นการชำระหนี้ตามสัญญาโอนกิจการสถานอาบอบนวด ก็เรียกได้ว่ามีมูลหนี้แล้ว
ที่จำเลยฎีกาว่า เช็คพิพาทนำเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินเกิน 1 เดือนนับแต่วันออกเช็คโจทก์ในฐานะผู้ทรง หมดสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลยผู้สั่งจ่ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 990 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ความเสียหายอันเกิดจากผู้ทรงเช็คไม่นำเช็คไปขึ้นเงินต่อธนาคารภายในกำหนดตามมาตรา 990 นั้น หมายถึงผู้สั่งจ่ายเสียเงินที่มีอยู่ในธนาคารเพราะการที่ผู้ทรงเช็คไม่นำเช็คไปขึ้นเงินภายในกำหนด เช่น ธนาคารล้มละลายเป็นต้น ถ้าหากผู้สั่งจ่ายไม่เสียหายดังกล่าวนี้แล้ว ผู้ทรงเช็คก็เรียกเงินตามเช็คต่อผู้สั่งจ่ายได้ จำเลยมิได้แสดงให้เห็นเลยว่าจำเลยได้เสียหาย อันเป็นเหตุให้หลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 990 ไปได้เลย
ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลแพ่งเลื่อนการฟังคำพิพากษาไปโดยอนุญาตให้โจทก์เสียค่าอ้างพยานเอกสารก่อน เป็นการไม่ชอบ เพราะตามตาราง 2ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง บัญญัติให้ผู้อ้างเสียค่าอ้างเอกสารเมื่อส่ง มิฉะนั้นห้ามมิให้ศาลรับฟัง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 นั้น เห็นว่า การชำระค่าอ้างเอกสารนั้น กฎหมายเพียงแต่กำหนดให้มีหน้าที่ชำระตั้งแต่เมื่อส่งเป็นต้นไป มิใช่ว่าต้องชำระทันทีเมื่อส่ง และหากไม่ชำระทันทีแล้วจะรับฟังเอกสารนั้น ๆ ไม่ได้ ผู้อ้างย่อมมีโอกาสเสียได้เสมอก่อนศาลพิพากษา ฉะนั้น ที่ศาลแพ่งเลื่อนเวลาฟังคำพิพากษาไปเพื่อให้โอกาสผู้อ้างชำระค่าอ้างเอกสารเสียก่อนพิพากษานั้น ย่อมชอบที่จะทำได้ พิพากษายืน