แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงโดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยร่วมกันหลอกลวงเอาโฉนดที่ดินของโจทก์ไปตั้งแต่ประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน 2494 ดังนี้ ความผิดฐานฉ้อโกงโฉนดสำเร็จตั้งแต่จำเลยได้โฉนดจากโจทก์ไป แม้โจทก์จะได้บรรยายฟ้องต่อไปด้วยว่า เมื่อจำเลยได้โฉนดไปแล้วได้ร่วมกันให้จำเลยที่ 2 โอนรับมรดกและต่อมาจึงโอนใส่ชื่อของจำเลยที่ 1 ก็เห็นได้ว่าเป็นการบรรยายให้เห็นพฤติการณ์ไม่สุจริตของจำเลยเท่านั้น มิใช่ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดอีกกระทงหนึ่ง หรือเป็นการกระทำความผิดต่อเนื่องกับความผิดฐานฉ้อโกงดังกล่าวข้างต้น ความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี อายุความสำหรับความผิดตามมาตรานี้จึงมีเพียง 10 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญ มาตรา 95 (3) โจทก์ฟ้องคดีนี้ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2522 เป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี นับแต่วันกระทำความผิด ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตราดังกล่าว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (6)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๔๙๔ จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันหลอกลวงเอาโฉนดที่ดินมรดกเลขที่ ๕๒๒๑ ไปจากบิดาโจทก์ เมื่อได้โฉนดดังกล่าวไปแล้วในเดือนพฤศจิกายน ๒๔๙๔ นั้นเอง จำเลยได้ร่วมกันมอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ โอนรับมรดก แล้วเดือนมีนาคม ๒๔๙๗ จำเลยทั้งสองร่วมกันทุจริตโอนที่ดินตามโฉนดดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ ให้จำเลยที่ ๑ โจทก์ในฐานะทายาทได้รับความเสียหายขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑, ๘๓
ระหว่างไต่สวนมูลฟ้องศาลชั้นต้นสั่งงดไต่สวน แล้ววินิจฉัยว่าโจทก์ฟ้องเกิน ๑๐ ปี นับแต่วันกระทำผิด ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี คดีดังกล่าวนี้จะต้องได้ฟ้องและได้ตัวผู้กระทำความผิดมายังศาลภายในกำหนด ๑๐ ปี นับแต่วันกระทำความผิดตามมาตรา ๙๕ (๓) คดีนี้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยร่วมกันทุจริตเพทุบายหลอกลวงเอาโฉนดที่ดินของโจทก์ เลขที่ ๕๒๒๑ ไปจากบิดาโจทก์ แล้วจำเลยร่วมกันร้องขอโอนใส่ชื่อจำเลยที่ ๒ คนเดียวในโฉนดแล้วจำเลยที่ ๒ โอนโฉนดที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ ทำให้โจทก์เสียที่ดินส่วนของโจทก์ไป โจทก์ทราบการกระทำของจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๒๒ และโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๒ ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฟ้องของโจทก์ดังกล่าวปรากฏว่าโจทก์กล่าวหาจำเลยทั้งสองกระทำความผิดเฉพาะฐานฉ้อโกงเอาโฉนดเลขที่ ๕๒๒๑ ของโจทก์ไปเท่านั้น ส่วนข้อความในฟ้องที่ว่าจำเลยทั้งสองได้โฉนดไปจากโจทก์แล้วได้ดำเนินการโอนรับมรดก และโอนใส่ชื่อจำเลยที่ ๑ นั้น เป็นการบรรยายฟ้องให้เห็นพฤติการณ์ไม่สุจริตของจำเลยทั้งสองเท่านั้น หาใช่เป็นฟ้องที่กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดอีกกระทงหนึ่ง หรือเป็นการกระทความผิดต่อเนื่องกับความผิดฐานฉ้อโกงโฉนดดังกล่าวข้างต้นไม่ เมื่อการกระทำความผิดของจำเลยเป็นความผิดฐานฉ้อโกงของโจทก์ ดังนั้น การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองจะสำเร็จเป็นความผิดฐานฉ้อโกงได้ด้วยการได้โฉนดเลขที่ ๕๒๒๑ ของโจทก์ไปและปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้โฉนดเลขที่ ๕๒๒๑ ไปจากนายเงินและโจทก์เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๔๙๔ ซึ่งเป็นวันกระทำความผิดฐานฉ้อโกงในคดีนี้ แต่โจทก์มาฟ้องจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๒ เกินสิบปี คดีของโจทก์จึงขาดอายุความตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น สิทธินำคดีมาฟ้องของโจทก์จึงระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๖) แม้โจทก์จะอ้างว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองหลังจากรู้เรื่องความผิดภายในสามเดือนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๖ ก็ตาม ก็ไม่ทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองได้เพราะสิทธิฟ้องของโจทก์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๖ ต้องอยู่ภายใต้บังคับ มาตรา ๙๕ แห่งประมวลกฎหมายอาญา
พิพากษายืน