คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 116/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา57วรรคหนึ่งกำหนดให้คู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียที่ไม่เห็นด้วยหรือไม่พอใจคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดจะต้องฟ้องคชก.จังหวัดเพื่อให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดเพราะตราบใดคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดยังไม่ถูกเพิกถอนต้องถือว่าคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมายหากไม่ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดภายในกำหนดเวลาคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดย่อมเป็นที่สุดตามมาตรา57วรรคสองประกอบด้วยมาตรา56คดีนี้โจทก์ไม่พอใจคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดนครปฐมที่วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิซื้อที่นาพิพาทโจทก์จึงต้องฟ้องคชก.จังหวัดนครปฐมเพื่อขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดนครปฐมเพื่อให้คชก.จังหวัดนครปฐมได้มีโอกาสเข้ามาต่อสู้คดีและชี้แจงเหตุแห่งคำวินิจฉัยเพื่อแก้ข้ออ้างของโจทก์เมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้องคชก.จังหวัดนครปฐมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้จนล่วงเลยมาถึงชั้นฎีกาโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองให้ขายที่นาพิพาทแก่โจทก์อันแตกต่างไปจากคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดนครปฐมและเรื่องอำนาจฟ้องนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองโดยที่คู่ความไม่ต้องร้องขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่าที่นาโฉนดเลขที่ 9586 จากนายบุญมา อยู่สำราญ นางบุญมา อยู่สำราญ นายตอง ตุ้มทองคำและนางอุบล ตุ้มทองคำ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินมานานกว่า 20 ปีโดยมิได้ทำหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือ โจทก์ไม่เคยให้เช่าช่วงและชำระค่าเช่าครบถ้วนทุกปี ต่อมานายตองและนางอุบลขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้แก่จำเลยทั้งสอง โดยทราบดีว่าโจทก์เป็นผู้เช่า แต่ยังร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าไม่มีผู้เช่า นายตองและนางอุบลไม่เคยบอกเลิกการเช่าไม่เคยแจ้งการขายต่อโจทก์ ทั้งมิได้ทำหนังสือแสดงความจำนงขายนาพร้อมทั้งระบุราคาและวิธีการชำระเงินยื่นต่อประธานคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลดอนแฝก (คชก.ตำบลดอนแฝก)อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 มาตรา 53 โจทก์จึงมีสิทธิซื้อที่นาคืนในราคาที่จำเลยทั้งสองซื้อเป็นเงิน 380,000 บาท ซึ่งเป็นราคาตลาดในขณะนั้นและโจทก์แจ้งขอซื้อนาคืนแล้ว จำเลยทั้งสองเพิกเฉย โจทก์จึงทำหนังสือถึงประธาน คชก.ตำบลดอนแฝก เพื่อใช้สิทธิขอซื้อนาคืน คชก.ตำบลดอนแฝกมีมติให้โจทก์ซื้อที่นาคืนได้จำเลยทั้งสองและนายตองกับนางอุบลได้ร่วมกันยื่นอุทธรณ์ คชก.จังหวัดนครปฐมมีมติว่าโจทก์ไม่มีสิทธิซื้อที่นาคืนโดยเห็นว่า โจทก์มิได้มีเจตนาที่จะซื้อคืนเพื่อใช้ทำนาเองอันเป็นการวินิจฉัยมีมติโดยไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพราะรับฟังเฉพาะข้อเท็จจริงที่ได้จากตัวแทนของผู้ให้เช่า โดยไม่มีหลักฐานใดยืนยันได้ว่าโจทก์ไม่มีเจตนาซื้อคืนเพื่อใช้ทำนาเอง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 9586 ตำบลดอนแฝก อำเภอนครชัยศรีจังหวัดนครปฐม เฉพาะส่วนเนื้อที่ 18 ไร่ 3 งาน 90 ตารางวาให้แก่โจทก์ในราคา 380,000 บาท และรับชำระราคาที่ดินดังกล่าวไป หากไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การว่า ก่อนขายที่นาพิพาท นายตองและนางอุบลได้เสนอขายที่นาเฉพาะส่วนของตนแก่โจทก์ โจทก์บอกปัดว่าโจทก์ชราทำนาไม่ไหว โจทก์มีที่นามากแล้ว ให้ขายแก่จำเลยทั้งสองไปโจทก์ให้นายสมจิตร สุขสำราญ บุตรเขยของโจทก์ทำนาและเก็บผลประโยชน์เท่ากับให้เช่าช่วง โจทก์ใช้สิทธิซื้อที่นาพิพาทไปขายเอากำไรเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ราคาที่นาพิพาทตามท้องตลาดขณะนั้นไม่ต่ำกว่า 100,000 บาท ต่อไร่ รวมราคาเฉพาะส่วนที่ขายจะเป็นเงินไม่น้อยกว่า 1,900,000 บาท นายตองและนางอุบลขายให้จำเลยทั้งสองราคาถูกเพราะจำเลยทั้งสองเป็นหลาน ไม่มีที่ดินทำกิน และหวังว่าจะให้จำเลยทั้งสองเลี้ยงดูยามแก่เฒ่าโจทก์จึงไม่มีสิทธิซื้อคืนในราคา 380,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนขายที่นาพิพาทโฉนดเลขที่ 9586 ตำบลดอนแฝก อำเภอนครชัยศรีจังหวัดนครปฐม เฉพาะส่วนของจำเลยทั้งสอง เนื้อที่ 18 ไร่ 3 งาน90 ตารางวา ให้แก่โจทก์ ในราคาไร่ละ 200,000 บาท โดยให้โจทก์ชำระราคาที่ดินภายในกำหนด 6 เดือน นับแต่วันมีคำพิพากษามิฉะนั้นให้ถือว่าโจทก์หมดสิทธิซื้อที่นาพิพาท หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนขายที่นาพิพาทเนื้อที่ 18 ไร่ 3 งาน 90 ตารางวา เฉพาะส่วนของตนในที่ดินโฉนดเลขที่ 9586 ตำบลดอนแฝก อำเภอนครชัยศรีจังหวัดนครปฐม ให้แก่โจทก์ในราคาไร่ละ 80,000 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เฉพาะส่วนที่ชำระเกินจากราคาที่นาพิพาทตามที่ศาลอุทธรณ์กำหนดแก่คู่ความทั้งสองฝ่าย
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้โดยคู่ความมิได้โต้แย้งกันว่า เดิมนายบุญมา อยู่สำราญ นางบุญมา อยู่สำราญนายตอง ตุ้มทองคำ นางอุบล ตุ้มทองคำ เป็นเจ้าของรวมที่นาโฉนดเลขที่ 9586 ตำบลดอนแฝก อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐมเนื้อที่ 37 ไร่ 3 งาน 80 ตารางวา ต่อมาวันที่ 12 มกราคม 2532นายตองและนางอุบลได้ขายที่นาดังกล่าวเฉพาะส่วนของทั้งสองคนเนื้อที่ 18 ไร่ 3 งาน 90 ตารางวา ซึ่งโจทก์เป็นผู้เช่านาส่วนนี้ให้แก่จำเลยทั้งสอง วันที่ 3 มิถุนายน 2532 โจทก์จึงทำหนังสือยื่นต่อประธาน คชก. ตำบลดอนแฝก ขอซื้อที่นาดังกล่าวจากจำเลยทั้งสองผู้รับโอนที่นาดังกล่าวในราคา 380,000 บาท ตามหนังสือเอกสารหมาย จ.3 คชก. ตำบลดอนแฝก ประชุมกันเมื่อวันที่5 เมษายน 2533 โดยมีมติว่าโจทก์มีสิทธิซื้อที่นาจากจำเลยทั้งสองผู้รับโอนได้ภายในระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้หรือควรจะรู้หรือภายในกำหนด 3 ปี นับแต่ผู้ให้เช่านาโอนนานั้นตามสำเนารายงานการประชุม คชก.ตำบลดอนแฝก เอกสารหมาย จ.4 จำเลยทั้งสองได้ยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลดอนแฝก ต่อ คชก.จังหวัดนครปฐมต่อมาวันที่ 26 เมษายน 2534 คชก. จังหวัดนครปฐมมีมติว่าโจทก์ผู้เช่ามิได้มีเจตนาที่จะซื้อที่นาคืนเพื่อใช้ทำนาเองเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จึงมีมติกลับคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลดอนแฝกเป็นโจทก์ไม่มีสิทธิซื้อที่นาพิพาท โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ว่ามติของ คชก.จังหวัดนครปฐมดังกล่าวไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 9586 ตำบลดอนแฝก อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐมเฉพาะส่วนเนื้อที่ 18 ไร่ 3 งาน 90 ตารางวา ให้แก่โจทก์ในราคา 380,000 บาท เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงและตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นกรณีที่โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของคชก. จังหวัดนครปฐม กรณีเช่นนี้พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 57 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า”คู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียในการเช่านาที่ไม่พอใจคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัด มีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัด แต่จะต้องไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่คชก.จังหวัดมีคำวินิจฉัย” ซึ่งหมายความว่าโจทก์ซึ่งเป็นคู่กรณีหรือมีส่วนได้เสียที่ไม่เห็นด้วยหรือไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดจะต้องฟ้อง คชก. จังหวัดเพื่อให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดเพราะตราบใดคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดยังไม่ถูกเพิกถอนต้องถือว่าคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดยังมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย และหากโจทก์ไม่ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดภายในกำหนดเวลาคำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัดย่อมเป็นที่สุดตาม มาตรา 57 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 คดีนี้โจทก์ไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัดนครปฐมที่วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิซื้อที่นาพิพาท โจทก์จึงต้องฟ้องคชก.จังหวัดนครปฐมเพื่อขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดนครปฐมด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ คชก.จังหวัดนครปฐมได้มีโอกาสเข้ามาต่อสู้คดีและชี้แจงเหตุแห่งคำวินิจฉัยเพื่อแก้ข้ออ้างของโจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้อง คชก. จังหวัดนครปฐม เพื่อขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยและมิได้มีการเรียก คชก.จังหวัดนครปฐมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้จนล่วงเลยมาถึงชั้นฎีกา โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองเพื่อขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองขายที่นาพิพาทแก่โจทก์อันแตกต่าง ไปจากคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดนครปฐมและปัญหาในเรื่องอำนาจฟ้องนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองโดยที่คู่ความไม่ต้องร้องขอ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้โดยลำพังกรณีจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยทั้งฎีกาของโจทก์และฎีกาของจำเลยทั้งสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษา ให้โจทก์มีสิทธิซื้อที่นาพิพาทจากจำเลยทั้งสองนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ทั้งนี้โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษาศาลฎีกา

Share