แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า หลังจากที่ดินตามโฉนดเลขที่ 11327 ได้แบ่งแยกเป็นแปลงย่อยแล้ว ที่ดินดังกล่าวซึ่งมีการจดทะเบียนภาระจำยอมเดิมได้กันที่ดินที่เหลือจากการแบ่งแยกให้เป็นทางถนนกว้าง 8 เมตร ยาวตลอดเชื่อมต่อกับที่ดินโฉนดเลขที่ 43653 ซึ่งทำเป็นทางถนนเชื่อมกับทางสาธารณะถนนสายรามอินทรา โดยเจ้าของที่ดินที่ซื้อที่ดินที่แบ่งแยกรวมทั้งโจทก์และจำเลยต่างใช้ทางดังกล่าวเข้าและออกสู่ถนนสาธารณะ และหลังจากแบ่งแยกที่ดินของโจทก์นั้น จำเลยไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินของโจทก์เป็นทางภาระจำยอมอีกเลยตั้งแต่ปี 2515 และต่อมาเมื่อมีการก่อสร้างทางพิเศษสายรามอินทรา-อาจณรงค์ แล้ว จำเลยสามารถใช้ที่ดินโฉนดเลขที่ 43653 ออกสู่ทางถนนดังกล่าวได้ด้วย ในกรณีเช่นนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1394 บัญญัติว่า “ถ้ามีการแบ่งแยกภารยทรัพย์ ท่านว่าภาระจำยอมยังคงมีอยู่ทุกส่วนที่แยกออก แต่ถ้าในส่วนใดภาระจำยอมนั้นไม่ใช้และใช้ไม่ได้ตามรูปการ ท่านว่าเจ้าของส่วนนั้นจะเรียกให้พ้นจากภาระจำยอมก็ได้” เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ที่ดินของโจทก์ซึ่งเป็นภารยทรัพย์หลังจากมีการแบ่งแยกแล้ว จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินสามยทรัพย์ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์ โจทก์ในฐานะเจ้าของภารยทรัพย์จึงมีสิทธิเรียกร้องให้ที่ดินส่วนที่แบ่งแยกของโจทก์ให้พ้นจากภาระจำยอมเพราะเหตุไม่ใช้หรือใช้ไม่ได้ตามรูปการได้ ภาระจำยอมในที่ดินของโจทก์จึงระงับสิ้นไป ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ทั้งการใช้สิทธิฟ้องของโจทก์ในกรณีนี้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายหาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตแต่อย่างใดไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 50427 ตำบลจรเข้บัว(ท่าแร้ง) อำเภอบางเขน (บางกะปิ) กรุงเทพมหานคร จดทะเบียนปลอดภาระจำยอมให้แก่ที่ดินของโจทก์ หากจำเลยไม่ดำเนินการ ขอถือเอาคำพิพากษาแทนแสดงเจตนาของจำเลยในการจดทะเบียนปลอดภาระจำยอมและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในการจดทะเบียนปลอดภาระจำยอมแทนโจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 50427 ตำบลจรเข้บัว (ท่าแร้ง) อำเภอบางเขน (บางกะปิ) กรุงเทพมหานคร จดทะเบียนปลอดภาระจำยอมให้แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 63269 และโฉนดเลขที่ 63270 ตำบลจรเข้บัว (ท่าแร้ง) อำเภอบางเขน (บางกะปิ) กรุงเทพมหานคร แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยในการจดทะเบียนปลอดภาระจำยอม กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันรับฟังว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 63269 และโฉนดเลขที่ 63270 ตำบลจรเข้บัว (ท่าแร้ง) อำเภอบางเขน (บางกะปิ) กรุงเทพมหานคร ที่ดินดังกล่าวของโจทก์แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 11327 ตำบลจรเข้บัว (ท่าแร้ง) อำเภอบางเขน (บางกะปิ) กรุงเทพมหานคร ก่อนแบ่งแยกที่ดิน ที่ดินโฉนดเลขที่ 11327 ตกเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 50427 ตำบลจรเข้บัว (ท่าแร้ง) อำเภอบางเขน (บางกะปิ) กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นที่ดินของจำเลยที่แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 43653 ตำบลจรเข้บัว (ท่าแร้ง) อำเภอบางเขน (บางกะปิ) กรุงเทพมหานคร ต่อมาที่ดินตามโฉนดเลขที่ 11327 ได้แบ่งแยกเป็นแปลงย่อยเพื่อจัดสรรหรือขายจำนวนหลายแปลง ซึ่งรวมที่ดินของโจทก์ทั้งสองแปลงแต่ไม่จดทะเบียนยกเลิกภาระจำยอมในที่ดินที่แบ่งแยก ทำให้ที่ดินของโจทก์ทั้งสองแปลงตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของจำเลย ในการแบ่งแยกดังกล่าวได้กันที่ดินโฉนดเลขที่ 11327 ที่เหลืออยู่หลังมีการแบ่งแยกให้เป็นทางถนนลาดยางกว้างประมาณ 8 เมตร ยาวตลอดแนวเพื่อให้ที่ดินที่แบ่งแยกใช้ประโยชน์เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะซึ่งมีการจดทะเบียนภาระจำยอมเดิม โดยเชื่อมต่อกับที่ดินโฉนดเลขที่ 43653 ที่ทำเป็นทางถนนออกสู่ทางสาธารณะถนนรามอินทราได้ ต่อมาในปี 2533 มีการก่อสร้างทางพิเศษสายรามอินทรา- อาจณรงค์ ทำให้ที่ดินของจำเลยมีทางเข้าออกโดยใช้ถนนสายดังกล่าวได้เป็นทางออกอีกทางหนึ่ง สำหรับคำขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในการจดทะเบียนปลอดภาระจำยอมศาลชั้นต้นพิพากษายกคำขอ โจทก์ไม่อุทธรณ์ จึงยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์มีสิทธิขอให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 63269 และที่ดินโฉนดเลขที่ 63270 ของโจทก์ปลอดจากภาระจำยอมของที่ดินโฉนดเลขที่ 50427 ของจำเลยหรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า ที่ดินของจำเลยไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งออกสู่ถนนสาธารณะได้ต้องผ่านที่ดินแปลงอื่น หากจำเลยปลอดภาระจำยอมให้แก่โจทก์แล้ว เจ้าของที่ดินที่ติดกับที่ดินแปลงของจำเลยซึ่งจำเลยใช้ออกสู่ถนนไม่ยินยอมให้จำเลยใช้อีกต่อไป ที่ดินของจำเลยก็จะตกอยู่ในสภาพที่ดินตาบอด การกระทำของโจทก์เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 11327 เป็นที่ดินที่ตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 50427 ซึ่งเป็นที่ดินของจำเลยโดยจดทะเบียนเป็นภาระจำยอมเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2514 ต่อมาที่ดินโฉนดเลขที่ 11327 ได้จัดสรรแบ่งแยกเป็นแปลงย่อยโดยโจทก์ได้ซื้อมาตามที่ดินโฉนดเลขที่ 63269 และโฉนดเลขที่ 63270 แต่ไม่ได้มีการจดทะเบียนยกเลิกภาระจำยอมทำให้ที่ดินของโจทก์ตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของจำเลยด้วยก็ตาม แต่ในการแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 11327 นั้นได้กันที่ดินส่วนที่เหลือจากแบ่งแยกเป็นแปลงย่อยให้เป็นทางถนนกว้าง 8 เมตร ยาวตลอดเชื่อมต่อกับที่ดินโฉนดเลขที่ 43653 ซึ่งทำเป็นทางถนนที่เชื่อมต่อกับทางถนนสายรามอินทราโดยตรง ซึ่งก็ได้ความจากพยานโจทก์ปากนางสาวขนิษฐา ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ นายมงคล ทนายความของโจทก์และนายยุทธนา เจ้าของที่ดินใกล้เคียงโจทก์ ต่างเบิกความทำนองเดียวกันยืนยันว่า หลังจากแบ่งแยกที่ดินเป็นแปลงย่อยแล้ว ที่ดินแปลงที่แบ่งแยกต่างใช้ที่ดินโฉนดเลขที่ 11327 ที่กันไว้เป็นทางถนนเข้าออกสู่ทางสาธารณะ จำเลยและบุคคลอื่นไม่เคยมีใครใช้ทางภาระจำยอมในที่ดินของโจทก์ทั้งสองแปลงเลยนับแต่มีการแบ่งแยก โดยจำเลยไม่ได้นำสืบโต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างนี้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า หลังจากที่ดินตามโฉนดเลขที่ 11327 ได้แบ่งแยกเป็นแปลงย่อยแล้ว ที่ดินดังกล่าวซึ่งมีการจดทะเบียนภาระจำยอมเดิมได้กันที่ดินที่เหลือจากการแบ่งแยกให้เป็นทางถนนกว้าง 8 เมตร ยาวตลอดเชื่อมต่อกับที่ดินโฉนดเลขที่ 43653 ซึ่งทำเป็นทางถนนเชื่อมกับทางสาธารณะถนนสายรามอินทรา โดยเจ้าของที่ดินที่ซื้อที่ดินที่แบ่งแยกรวมทั้งโจทก์และจำเลยต่างใช้ทางดังกล่าวเข้าและออกสู่ถนนสาธารณะ และหลังจากแบ่งแยกที่ดินของโจทก์นั้น จำเลยไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินของโจทก์เป็นทางภาระจำยอมอีกเลยตั้งแต่ปี 2515 และต่อมาเมื่อมีการก่อสร้างทางพิเศษสายรามอินทรา-อาจณรงค์แล้ว จำเลยสามารถใช้ที่ดินโฉนดเลขที่ 43653 ออกสู่ทางถนนดังกล่าวได้ด้วย ในกรณีเช่นนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1394 บัญญัติว่า “ถ้ามีการแบ่งแยกภารยทรัพย์ ท่านว่าภาระจำยอมยังคงมีอยู่ทุกส่วนที่แยกออก แต่ถ้าในส่วนใดภาระจำยอมนั้นไม่ใช้และใช้ไม่ได้ตามรูปการ ท่านว่าเจ้าของส่วนนั้นจะเรียกให้พ้นจากภาระจำยอมก็ได้” เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ที่ดินของโจทก์ซึ่งเป็นภารยทรัพย์หลังจากมีการแบ่งแยกแล้ว จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินสามยทรัพย์ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์ โจทก์ในฐานะเจ้าของภารยทรัพย์จึงมีสิทธิเรียกร้องให้ที่ดินส่วนที่แบ่งแยกของโจทก์ให้พ้นจากภาระจำยอมเพราะเหตุไม่ใช้หรือใช้ไม่ได้ตามรูปการได้ ภาระจำยอมในที่ดินของโจทก์จึงระงับสิ้นไป ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ทั้งการใช้สิทธิฟ้องของโจทก์ในกรณีนี้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายหาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตแต่อย่างใดไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ