คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1064/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนังสือระบุว่าเป็นพินัยกรรม์และมีพะยานกับผู้เขียนอย่างแบบพินัยกรรม์ แต่เมื่ออ่านข้อความตลอดแล้วเห็นได้ว่าผู้ยกทรัพย์ให้ไม่ได้แสดงเจตนาจะยกทรัพย์ให้เมื่อตายแต่กลับยกให้ทันทีตั้งแต่วันทำหนังสือนั้น จึงไม่ใช่เป็นพินัยกรรม์ แต่เป็นลักษณะสัญญาให้ทำหนังสือยกที่นามือเปล่าให้กันเอง ผู้รับได้เข้ายึดถือครอบครองนานั้นด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาแล้ว 1 ปี ย่อมได้สิทธิครอบครองตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา 1367, 1369 แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๓ โจทก์กับนายเกตุสามีได้ทำหนังสือพินัยกรรม์ยกที่นาพิพาทให้จำเลยซึ่งเป็นบุตร ๑ ส่วน ราคา ๒๐๐๐ บาท ต่อมานายเกตุตาย โจทก์ได้ปกครองทำกินเสมอมา จำเลยหาได้ปกครองไม่บัดนี้โจทก์ไม่พอใจให้นาพิพาทแก่จำเลยได้ทำหนังสือเพิกถอนพินัยกรรม์แล้ว จำเลยบังอาจบุกรุกเข้ามาไถหว่านกล้าในนาที่พิพาทจึงให้ขับไล่
จำเลยต่อสู้ว่า นายเกตุบิดาได้ทำหนังสือยกที่นานี้แก่จำเลยๆ ได้ถือสิทธิครอบครองมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๓ ตลอดมาจน พ.ศ. ๒๔๘๔ โจทก์จึงขออาศัยทำนานี้ต่อจำเลย ภายหลังจำเลยไม่มีนาทำจึงเข้าทำนานี้เอง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อ ก.ม.และข้อเท็จจริง โดยมีผู้พิพากษาผู้นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นนั้นรับรองให้ฎีกาข้อเท็จจริง
หนังสือที่โต้เถียงกันว่า เป็นพินัยกรรม์หรือหนังสือยกให้นั้น มีข้อความดังนี้ -:
“เขียนที่เรือนนายเกษบ้านผักกาดญ่า วัน ๖ฯ ๑๐ ค่ำ วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๓ ข้าพเจ้านายเกษ พลคะชา นางบุญตั้งบ้านเรือนอยู่หมู่ที่ ๑๘ ตำบลกลาง อำเภอเสลภูมิได้ทำหนังสือพินัยกรรม์ยกที่นาท่าศาลาให้นายพิมพ์บุตร นางมีบุตร์สะใภ้แบ่งเป็น ๓ ส่วนให้นายพิมพ์นางมีผัวเมีย ๑ ส่วน เป็นกรรมสิทธิตั้งแต่วันทำหนังสือนี้เป็นต้นไป
อีกต่อเมื่อนายพิมพ์นางมีบุตร์สะใภ้อยู่กินเลี้ยงต่อไปจนกว่านางจันทร์ผู้น้องได้สามีแล้ว ผู้เป็นบิดามาราดายอมยกนาทุ่งศาลานี้แบ่งครึ่งให้นายพิมพ์บุตรนางมีบุตรสะใภ้ แต่เมื่อวันนางจันทร์ได้สามีแต่วันนั้นเป็นต้นไปได้ลงชื่อแตะโป้ให้ไว้เป็นสำคัญ ส่วนสินสมส่างยอมยกให้ตามผู้ใหญ่น้อย
ลงชื่อ ลายพิมพ์มือ นายเกษ พลคะชา บิดา
” ลายพิมพ์มือ นางบุญ พลคะชา มารดา
” ชาเนตร ผู้ใหญ่บ้าน พะยาน
” สุรินทร์ ” ฯลฯ
ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ
” นายสิทธิ ผู้เขียน
หนังสือนี้ แม้จะระบุว่าเป็นพินัยกรรม์และมีพะยานกับผู้เขียนอย่างแบบพินัยกรรม์ก็ดี แต่เมื่อได้อ่านข้อความตลอดทั้งฉะบับแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าหาใช่เป็นพินัยกรรมืไม่เพราะผู้ยกทรัพย์ให้ไม่ได้แสดงเจตนาจะยกทรัพย์ให้เมื่อตายแต่กลับยกให้ทันทีตั้งแต่วันทำหนังสือนั้น เป็นลักษณะสัญญาให้ทั้งยังกำหนดเงื่อนไขต่อไปว่า เมื่อนางจันทร์ผู้น้องได้สามี ผู้ยกให้ยกนานั้นให้ครึ่งหนึ่ง ดังนี้ จึงไม่ใช่พินัยกรรม์ ดังฎีกาที่ ๖๓๖/๒๔๙๒
ส่วนข้อเท็จจริง คงฟังได้ว่าจำเลยได้ครอบครองมาในขั้นแรกจริง จึงเห็นว่าแม้ว่าการที่บิดามารดาจำเลยทำหนังสือยกที่นาพิพาทให้จำเลย ๑ ใน ๓ จะไม่สมบูรณ์ตาม ก.ม.ก็ดี แต่จำเลยก็ได้เข้ายึดคือครอบครองนานี้ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาแล้วหนึ่งปี จำเลยจึงได้สิทธิครอบครองตามมาตรา ๑๓๖๗, ๑๓๖๙ แห่ง ป.ม.แพ่งฯ เพราะนาพิพาทเป็นที่นามือเปล่า แม้ต่อมาภายหลังจำเลยมิได้ครอบครองบิดามารดาครอบครองต่อมาก็ครอบครองในฐานะแทนจำเลย จำเลยยังไม่ได้สละสิทธิครอบครอง จึงยังคงมีสิทธิครอบครองอยู่ โจทก์จะฟ้องขับไล่จำเลยไม่ได้
พิพากษายืน

Share