แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ที่รับจำนองร้านค้าไว้จนหลุดเป็นสิทธิของตน แล้วได้ร่วมคิดกับผู้จำนอง เอาร้านค้านั้นไปจำนองผู้เสียหายอีกและพูกรับรองว่า ร้านค้านั้นไม่ได้จำนองหรือขายฝากไว้กับผู้ใด ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงรับจำนองไว้ และชำระเงินให้ผู้รับจำนองเดิม ดังนี้ ถือว่าผู้รับจำนองเดิมสมคบกับผู้จำนองฉ้อโกงผู้เสียหาย
ดุลยพินิจในการรอการลงอาญาจำเลยที่เป็นหญิงมีบุตรอ่อน
ย่อยาว
ความว่า จำเลยที่ ๒ กับพวกพาจำเลยที่ ๑ ไปหาหลวงทรงฯที่บ้าน ขอจำนองกาแฟเป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ รับรองต่อหลวงทรงว่า ร้านกาแฟของจำเลยที่ ๑ ไม่ได้จำนองหรือขายฝากไว้กับผู้ใด หลวงทรงฯ หลงเชื่อจึงรับจำนองจำเลยที่ ๒ เป็นผู้รับเงินจากหลวงทรงฯ และภริยา ร้านกาแฟของจำเลยที่ ๑ นี้ความจริงจำเลยที่ ๒ ได้รับซื้อไว้จากจำเลยที่ ๑ และครบสัญญาหลุดเป็นสิทธิของจำเลยที่ ๒ ก่อนนำมาจำนองหลวงทรงฯแล้ว โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมคบกันฉ้อโกงหลวงทรง จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ที่โจทก์นำสืบยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ ๒ สมคบกับจำเลยที่ ๑ ด้วย ส่วนจำเลยที่ ๑ ผิดฐานฉ้อโกงตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๓๐๖ จำคุก ๖ เดือนกับให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวเห็นว่า จำเลยที่ ๒ ต้องการเงิน จึงสมคบกับจำเลยที่ ๑ ไปหลอกลวงฉ้อโกงหลวงทรงฯ พิพากษาแก้ไขให้จำคุกจำเลยที่ ๒ ๖ เดือน ตามมาตรา ๓๐๖ และให้ช่วยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ระหว่างอุทธรณ์โจทก์ถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๑ เสีย
นางสวงจำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณืว่า จำเลยที่ ๒ ต้องมีความผิด แต่ตามรูปคดีหลวงทรงฯผู้เสียหายเลิกดำเนินคดีเอาโทษแก่จำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นหญิงมีบุตรยังเล็กอยู่ยังไม่ควรลงอาญาจำคุกไปไปทีเดียว
พิพากษาแก้ ให้รอการลงอาญาแก่จำเลยที่ ๒ ตามมาตรา ๔๑,๔๒ นอกนั้นยืน