คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1142/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บรรยายฟ้องว่ารถยนต์คันพิพาทได้เสียหายอะไรบ้าง ประมาณค่าเสียหายรวมกันเป็นเงินจำนวนหนึ่งดังรายการเอกสารท้ายฟ้องซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องก็ย่อมเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง โดยไม่จำต้องกล่าวว่าเสียหายรายการใด ราคาเท่าไร เพราะเป็นรายละเอียดซึ่งจะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา
จำเลยเป็นบริษัทจำกัด ประกอบธุรกิจการโรงแรม โจทก์ที่ 1 ได้มาพักโรงแรมจำเลยและนำรถยนต์คันพิพาทที่ยืมโจทก์ที่ 2 มาจอดไว้ในบริเวณโรงแรมแล้วเกิดเสียหายขึ้น กรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับโรงแรม ต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 674 และ 675 มาปรับแก่คดี มิใช่เป็นเรื่องฝากทรัพย์ตามธรรมดาทั่วไป จำเลยต้องรับผิดต่อเจ้าของรถ โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้ทำให้เกิดความเสียหายเป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่
จำเลยนำสืบว่าโจทก์ที่ 1 ใช้ลูกจ้างจำเลยช่วยขับรถยนต์คันพิพาทไปเติมน้ำมัน แต่ตามคำให้การของจำเลยมิได้กล่าวอ้างไว้ให้ชัดแจ้งดังที่จำเลยนำสืบ ดังนี้ ต้องถือว่าจำเลยไม่มีข้อต่อสู้และไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ แม้ศาลชั้นต้นยอมให้จำเลยสืบพยานมา ก็หาก่อให้เกิดเป็นประเด็นข้อต่อสู้ขึ้นไม่ และไม่อาจนำพยานจำเลยที่ไม่ถูกต้องนี้มาวินิจฉัยได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เช่าห้องพักโรงแรมของจำเลย และนำรถยนต์ของโจทก์ที่ 2 ไปมอบให้จำเลยดูแลรักษาพร้อมทั้งอนุญาตให้จำเลยไว้ตามระเบียบข้อบังคับของจำเลย ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลยได้ยินยอมให้ลูกจ้างขณะกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลย นำรถยนต์ไปวิ่งใช้งานในถนนเป็นเหตุให้ชนกับรถอื่นได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 10,730 บาทแก่โจทก์ที่ 1 และชำระเงิน 30,300 บาทแก่โจทก์ที่ 2พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ที่ 1 ไม่เคยนำรถคันพิพาทไปมอบให้จำเลยดูแล จำเลยไม่เคยยินยอมให้ลูกจ้างนำรถคันพิพาทไปวิ่งใช้งานในถนน เหตุที่รถชนกันมิใช่ความประมาทของคนขับรถคันพิพาท คนขับรถคันพิพาทมิได้ทำหน้าที่เป็นลูกจ้างและกระทำในทางการที่จ้างของจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชอบ ค่าเสียหายของโจทก์ที่ 1 นั้น เป็นค่าเสียหายที่โจทก์ที่ 1ไม่อาจเรียกจากจำเลยได้ตามกฎหมาย ค่าเสียหายของโจทก์ที่ 2 ไม่ถึงจำนวนที่ฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 15,000บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ 500 บาทแทนโจทก์ที่ 2 แต่เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยใช้แทนเท่าที่โจทก์ที่ 2 ชนะคดี ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยให้เป็นพับ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 250 บาทแทนโจทก์ที่ 2

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับฎีกาจำเลยข้อแรกที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะ มิได้บรรยายฟ้องให้ชัดว่า โจทก์ที่ 1 เกี่ยวข้องอย่างไรในการใช้รถคันพิพาทและโจทก์ที่ 2 เกี่ยวข้องอย่างไรในการซ่อมรถคันพิพาทแทนโจทก์ที่ 1 นั้น เห็นว่าฟ้องของโจทก์ได้บรรยายข้อความให้เป็นที่เข้าใจได้ว่า โจทก์ที่ 1 เกี่ยวข้องในการใช้รถคันพิพาทโดยนำรถคันพิพาทของโจทก์ที่ 2 มาใช้ธุรกิจของโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 1 ได้มอบรถคันพิพาทไว้ที่โรงแรม จำเลยซึ่งโจทก์ที่ 1 เช่าพักอยู่ การที่โจทก์ที่ 2 เกี่ยวข้องในการซ่อมรถคันพิพาทแทนโจทก์ที่ 1 ก็เพราะเป็นเจ้าของคำฟ้องของโจทก์จึงแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ส่วนที่ว่าเฉพาะค่าเสียหายในการซ่อมรถก็เป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น เห็นว่า เมื่อได้กล่าวบรรยายในฟ้องว่ารถคันพิพาทได้เสียหายอะไรบ้าง และประมาณค่าเสียหายรวมกันเป็นเงินจำนวนหนึ่ง ดังเอกสารท้ายฟ้องหมาย 1 ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องแล้ว ก็ย่อมเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง โดยไม่จำต้องกล่าวถึงว่าเสียหายรายการใด ราคาเท่าไรเพราะเป็นรายละเอียดซึ่งจะต้องนำสืบกันในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ข้อนี้จึงไม่เคลือบคลุม เช่นเดียวกัน

ฎีกาจำเลยข้อ 2 ที่ว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 2 นั้น เห็นว่า ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยเป็นบริษัทจำกัด ประกอบธุรกิจการโรงแรม เมื่อกรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับโรงแรม จึงต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 674 และมาตรา 675 มาปรับแก่คดีนี้ ซึ่งกรณีมิใช่เป็นเรื่องฝากทรัพย์และตามมาตรา 674 บัญญัติว่า เจ้าสำนักโรงแรม จะต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัย หากได้พามา และมาตรา 675 บัญญัติว่า เจ้าสำนักต้องรับผิด ในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัย สูญหายหรือบุบสลายไปอย่างใด ๆแม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้น จะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออกณ โรงแรม ก็คงต้องรับผิด ฯลฯ ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังกล่าว จำเลยเป็นเจ้าสำนักโรงแรม จำเลยจึงต้องรับผิดเพื่อความบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่รถยนต์คันพิพาทที่โจทก์ที่ 1 ได้พามาจอดไว้ โดยไม่ต้องคำนึงว่านายบุญช่วยจะเป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่ ส่วนข้อที่ว่านายบุญช่วยขับรถยนต์คันพิพาทออกไป เพราะโจทก์ที่ 1 มอบกุญแจให้นายบุญช่วยขับไปใช้งานของโจทก์ที่ 1เองนั้น เห็นว่า ข้อนี้จำเลยนำสืบว่า โจทก์ที่ 1 ใช้นายบุญช่วยขับรถยนต์คันพิพาทไปเติมน้ำมัน แต่ตามคำให้การของจำเลยมิได้กล่าวอ้างไว้ให้ชัดแจ้งดังที่จำเลยนำสืบ ดังนี้ คดีจึงต้องถือว่าจำเลยไม่มีข้อต่อสู้และไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ เมื่อจำเลยไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ แม้ศาลชั้นต้นจะยอมให้จำเลยสืบพยานมา ก็หาก่อให้เกิดเป็นประเด็นข้อต่อสู้ขึ้นไม่ และไม่อาจนำพยานจำเลยที่ไม่ถูกต้องมาวินิจฉัยคดีนี้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

ศาลฎีกาเห็นว่าที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าเสียหายให้เป็นการเหมาะสมแล้ว แต่ที่กำหนดให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเกี่ยวกับค่ารถเสื่อมสภาพ 5,000 บาทสูงไป ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดให้ 2,000 บาท

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเกี่ยวกับค่ารถเสื่อมสภาพเป็นเงิน 2,000 บาท นอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 200 บาท แก่โจทก์ที่ 2

Share