คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1133/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เอกสารของคู่ความที่แนบท้ายคำแถลงการณ์ซึ่งยื่นในชั้นอุทธรณ์ มิใช่พยานหลักฐานที่ได้อ้างและยื่นต่อศาลโดยถูกต้องตามกระบวนพิจารณา ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย
ลูกหนี้ทำหนังสือรับรองต่อเจ้าหนี้ว่าจะชำระหนี้ให้ภายในกำหนด 1 เดือนดังนี้ เป็นหนังสือที่ลูกหนี้ทำขึ้นฝ่ายเดียวให้แก่เจ้าหนี้เพื่อเป็นหลักฐานการรับสภาพหนี้ของลูกหนี้ ไม่ใช่ลูกหนี้และเจ้าหน้ตกลงกันใหม่ที่จะให้ผู้ค้ำประกันพ้นจากฐานะผู้ค้ำประกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ กู้เงินโจทก์เป็นเงิน ๖,๕๐๐ บาท โดยจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน ครบกำหนดไม่ชำระ ขอให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยที่ ๑ ซื้อเชื่อเครื่องชั่งจากโจทก์ โจทก์เอาสัญญากู้ฉบับที่ฟ้องให้จำเลยที่ ๑ ลงชื่อไม่ได้กรอกข้อความและให้จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน ตกลงว่าถ้าไม่ได้ชำระให้โจทก์กรอกเงินตามราคาเครื่องชั่งในสัญญานั้นจำเลยชำระเงินแล้วคงขาด ๑๐๐ บาท โจทก์โกรธได้พิมพ์ข้อความในสัญญากู้เป็น ๖,๕๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้เงินต้น ๖,๕๐๐ บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันกู้จนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ กู้เงินโจทก์โดยจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันจริง
ที่จำเลยขอให้ศาลฎีการับเอกสารซึ่งแนบท้ายคำแถลงการณ์ที่ยื่นต่อศาลอุทธรณ์เข้าสู่การพิจารณาของศาลฎีกานั้น เอกสารดังกล่าวมิใช่พยานหลักฐานที่จำเลยได้อ้างและยื่นต่อศาลโดยถูกต้องตามกระบวนพิจารณา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
หนังสือที่จำเลยที่ ๑ ได้ทำรับรองว่าจะชำระเงินให้โจทก์ภายในกำหนด ๑ เดือนนั้น เป็นเอกสารที่จำเลยที่ ๑ ทำขึ้นฝ่ายเดียวให้แก่โจทก์เป็นหลักฐานการรับสภาพหนี้เงินที่จำเลยที่ ๑ กู้ไปจากโจทก์ ไม่มีข้อความว่าโจทก์จำเลยตกลงกันใหม่ให้จำเลยที่ ๒ พ้นจากการผูกพันในฐานะผู้ค้ำประกันเงินกู้จำเลยที่ ๒ จึงยังผูกพันตามสัญญาค้ำประกัน
พิพากษายืน.

Share