แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายแล้วจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย นั้นเห็นได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานบุกรุกและฐานข่มขืนกระทำชำเราต่อเนื่องกัน โดยมีเจตนาอันแท้จริงเพื่อข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นสำคัญ การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยได้กระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน และจำเลยรับสารภาพตามฟ้องก็ตามศาลก็ลงโทษจำเลยทุกกระทงไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 31 มิถุนายน 2519 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยได้บุกรุกเข้าไปอยู่ในกระท่อมอันเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยในความครอบครองของนางบัวสอด แสนทวีสุขผู้เสียหาย โดยไม่ได้รับอนุญาตและโดยไม่มีเหตุอันสมควร แล้วจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเรานางบัวสอดอายุ 18 ปี ซึ่งมิใช่ภรรยาของจำเลยโดยใช้กำลังกายบีบคอปลุกปล้ำและใช้มีดปลายแหลมจี้ขู่เข็ญนางบัวสอด จนจำเลยสำเร็จความใคร่สองครั้ง โดยนางบัวสอดไม่สามารถขัดขืนได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 364, 365, 91 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 2, 7
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276, 364, 365, 90 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 514 ข้อ 2, 7 (ที่ถูกเป็นข้อ 7 ข้อเดียว) ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 ซึ่งเป็นบทหนัก จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานบุกรุกกระทงหนึ่งและเป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราอีกกระทงหนึ่ง ขอให้ลงโทษทุกกระทง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายแล้วจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย จำเลยกระทำผิดต่อเนื่องกันโดยมีเจตนาอันแท้จริงเพื่อข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นสำคัญ การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แม้โจทก์จะได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้กระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน และจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลก็ลงโทษจำเลยทุกกระทงไม่ได้
พิพากษายืน