คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15401/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อบังคับสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง ว่าด้วยค่าเช่าบ้าน พ.ศ.2533 (ข้อบังคับเดิม) ข้อ 15 (1) มีข้อความว่า “ในกรณีที่ผู้ซึ่งมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านตามข้อบังคับนี้ ได้เช่าซื้อบ้านหรือผ่อนชำระเงินกู้เพื่อชำระราคาบ้านที่ค้างชำระอยู่ในท้องที่ที่ไปประจำสำนักงานใหม่ เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยและได้อาศัยอยู่จริงในบ้านนั้น ให้ผู้นั้นมีสิทธินำหลักฐานการชำระค่าเช่าซื้อหรือค่าผ่อนชำระเงินกู้ดังกล่าวมาเบิกค่าเช่าบ้านได้ไม่เกินจำนวนที่กำหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านท้ายข้อบังคับนี้ ตามเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ (1) ตนเอง และสามีหรือภริยา ได้ทำการผ่อนชำระค่าเช่าซื้อหรือผ่อนชำระเงินกู้เพื่อชำระราคาบ้านอยู่เพียงหลังเดียวในท้องที่นั้น” เป็นการกำหนดให้การใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านเพื่อชำระราคาบ้านจะต้องอยู่ในท้องที่ที่ไปประจำสำนักงานใหม่ เบิกได้ไม่เกินจำนวนเงินที่กำหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านท้ายข้อบังคับ โดยตนเองและสามีหรือภริยาได้ทำการผ่อนชำระอยู่เพียงหลังเดียวในท้องที่นั้น แต่ในข้อบังคับใหม่ ข้อ 15 (1) กำหนดว่า “ในกรณีที่พนักงานซึ่งมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านตามข้อบังคับนี้ ได้เช่าซื้อหรือผ่อนชำระเงินกู้เพื่อชำระราคาบ้านที่ค้างชำระอยู่ในท้องที่หนึ่งท้องที่ใดที่สามารถเดินทางไปปฏิบัติงานประจำสำนักงานใหม่ได้ตามหลักเกณฑ์ที่ผู้อำนวยการกำหนดเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยและได้อาศัยอยู่จริงในบ้านนั้น ให้พนักงานผู้นั้นมีสิทธินำหลักฐานการชำระค่าเช่าซื้อหรือค่าผ่อนชำระเงินกู้ดังกล่าวมาเบิกค่าเช่าบ้านได้ตามที่จ่ายจริง ไม่เกินอัตราร้อยละ 20 ของเงินเดือนและอย่างสูงไม่เกินจำนวนเงินที่คณะกรรมการกำหนดตาม ข้อ 6 ตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ (1) ตนเองหรือคู่สมรส ได้ทำการผ่อนชำระค่าเช่าซื้อหรือผ่อนชำระเงินกู้เพื่อชำระราคาบ้านในท้องที่นั้น จะเบิกจ่ายได้เพียงหลังเดียว” ตามข้อบังคับใหม่นี้มิได้กำหนดให้ต้องเป็นการเบิกค่าเช่าบ้านเพื่อชำระราคาบ้านเฉพาะในท้องที่ที่ไปประจำสำนักงานใหม่เท่านั้น แต่กำหนดให้เป็นบ้านที่อยู่ในท้องที่หนึ่งท้องที่ใดที่สามารถเดินทางไปปฏิบัติงานประจำสำนักงานใหม่ได้ด้วย โดยเปลี่ยนแปลงให้ตนเองหรือคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งทำการผ่อนชำระค่าเช่าซื้อหรือผ่อนชำระเงินกู้เพื่อชำระราคาบ้านในท้องที่นั้นสามารถจะเบิกจ่ายค่าเช่าบ้านได้เพียงหลังเดียว
โจทก์เคยร่วมกับสามีกู้ยืมเงินจากธนาคาร อ. สาขาตรัง ในโครงการสินเชื่อเคหะสงเคราะห์เพื่อก่อสร้างบ้านพักเพื่ออยู่อาศัยร่วมกันมาก่อน แม้ต่อมาสามีโจทก์แต่เพียงผู้เดียวได้กู้เงินจากธนาคาร ก. สาขาตรัง ตามโครงการเคหะสงเคราะห์และสวัสดิการแก่พนักงานการไฟฟ้า เพื่อใช้สิทธิในส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายลดลง ซึ่งหากเป็นการกู้เงินตามสัญญาใหม่ที่มีจำนวนเงินไม่สูงกว่าจำนวนหนี้เดิมก็จะเป็นการชำระหนี้ราคาบ้านที่ค้างชำระอยู่เดิมนั่นเอง และแม้สามีโจทก์จะเป็นผู้กู้เงินตามสัญญาใหม่แต่เพียงผู้เดียว บ้านที่ปลูกสร้างขึ้นดังกล่าวโดยอาศัยเงินกู้นั้นก็เป็นสินสมรสของโจทก์ด้วย และนอกจากโจทก์จะต้องรับผิดชำระหนี้ที่สามีโจทก์ได้กู้ยืมตามโครงการเคหะสงเคราะห์และสวัสดิการแก่พนักงานการไฟฟ้า ของธนาคาร ก. สาขาตรัง ดังกล่าว เพราะเป็นหนี้ร่วมแล้ว โจทก์ยังต้องรับผิดในฐานะผู้จำนองที่ดินเป็นประกันเงินกู้ดังกล่าวด้วย ดังนั้นไม่ว่าสามีโจทก์หรือโจทก์จะเป็นผู้ทำสัญญากู้ยืมเงินเอง สิทธิและหน้าที่ของโจทก์ก็ไม่มีความแตกต่างกัน โจทก์จึงมีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านเพื่อชำระค่าผ่อนชำระเงินกู้ดังกล่าวได้ตามเงื่อนไขของข้อบังคับคณะกรรมการสงเคราะห์การทำสวนยาง ว่าด้วยค่าเช่าบ้าน พ.ศ.2548 ข้อ 15 (ข้อบังคับใหม่) ข้อบังคับดังกล่าวจึงถือว่าเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างโดยปริยายและเป็นคุณกับโจทก์
ระเบียบสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินค่าเช่าบ้าน พ.ศ.2550 ข้อ 21 ส่วนที่กำหนดให้เบิกจ่ายย้อนหลังได้ไม่เกินวันที่ 2 พฤศจิกายน 2549 ที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามข้อบังคับคณะกรรมการสงเคราะห์การทำสวนยาง ว่าด้วยค่าเช่าบ้าน พ.ศ.2548 เป็นการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณและลูกจ้างมิได้ยินยอม จึงไม่สามารถใช้เพื่อตัดสิทธิของโจทก์ให้ลดน้อยลงจากสิทธิที่โจทก์มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านเพื่อผ่อนชำระเงินกู้เพื่อชำระราคาบ้านที่ค้างชำระย้อนหลังได้ถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2547 ตามข้อบังคับคณะกรรมการสงเคราะห์การทำสวนยาง ว่าด้วยค่าเช่าบ้าน พ.ศ.2548 ข้อ 15 (1) แต่อย่างใด

ย่อยาว

คดีนี้ศาลแรงงานภาค 9 รับโอนคดีมาจากศาลปกครองสงขลา โดยโจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ยกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่ง ที่ กษ 2029/385 ลงวันที่ 6 ธันวาคม 2550 ของจำเลยที่ 1 คำสั่งที่ กษ 2013/0003 ลงวันที่ 3 มกราคม 2551 และคำสั่งที่ 24/2550 ลงวันที่ 23 สิงหาคม 2550 ของจำเลยที่ 2 กับบังคับจำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำสั่งที่ 33/2550 ลงวันที่ 2 ตุลาคม 2550 ให้โจทก์มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านย้อนหลังไปถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2547 และให้จำเลยทั้งสองจ่ายเงิน 64,602 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2554 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค 9 พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยอุทธรณ์โจทก์ว่า มีเหตุยกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งจำเลยที่ 1 ที่ กษ 2029/385 ลงวันที่ 6 ธันวาคม 2550 เรื่อง ยกเลิกคำสั่ง สกย. จ.ตรัง ที่ 33/2550 และเรียกเงินค่าเช่าบ้านคืน คำสั่งจำเลยที่ 2 ที่ กษ 2013/0003 ลงวันที่ 3 มกราคม 2551 เรื่อง การเรียกเงินคืนค่าเช่าบ้าน และคำสั่งจำเลยที่ 2 ที่ 24/2550 เรื่อง เรียกเงินคืนค่าเช่าบ้าน ลงวันที่ 23 สิงหาคม 2550 หรือไม่ โจทก์มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านตามสิทธิย้อนหลังถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2547 ตามคำสั่งจำเลยที่ 2 ที่ 33/2550 เรื่อง เปลี่ยนแปลงคำสั่งทางการปกครองหรือไม่ และจำเลยทั้งสองต้องคืนเงินจำนวน 64,602 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามฟ้องแก่โจทก์ หรือไม่ เห็นว่า ตามบันทึกข้อความ เรื่อง ขอหารือการเบิกจ่ายค่าเช่าบ้าน ลงวันที่ 16 สิงหาคม 2548 ซึ่งโจทก์มีบันทึกหารือหัวหน้าสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางอำเภอกันตัง กรณีที่โจทก์ประสงค์จะใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านเพื่อเป็นค่าผ่อนชำระเงินกู้เพื่อชำระราคาบ้าน ระบุว่า ในขณะนั้นโจทก์ได้ใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านเหมาจ่าย อัตราร้อยละ 20 ของเงินเดือนวันที่ 31 มีนาคม 2533 ซึ่งหัวหน้าสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางอำเภอกันตังได้มีหนังสือที่ กษ 2013/3/0489 ลงวันที่ 16 สิงหาคม 2548 ขอหารือกรณีของโจทก์ต่อจำเลยที่ 2 ตามเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 10 ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงท้ายเอกสารดังกล่าวเป็นลายมือเขียนว่า ข้อ 1 คู่สมรสของโจทก์ได้ทำสัญญาเช่าซื้อบ้านในท้องที่สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางจังหวัดตรังเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2541 ตามข้อบังคับสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง ว่าด้วยค่าเช่าบ้าน พ.ศ.2533 ข้อ 15 (1) เบิกค่าเช่าบ้านไม่ได้เนื่องจากโจทก์และคู่สมรสต้องทำสัญญาร่วมกัน ข้อ 2 โจทก์บรรจุแล้วย้ายไปปฏิบัติงานต่างท้องที่เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2543 ใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านแบบเหมาจ่ายตามข้อบังคับเดิมมาจนถึงปัจจุบัน และข้อ 3 โจทก์ใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านกรณีเช่าซื้อจากสถาบันการเงินตามข้อบังคับใหม่ ซึ่งหมายถึงข้อบังคับคณะกรรมการสงเคราะห์การทำสวนยาง ว่าด้วยค่าเช่าบ้าน พ.ศ.2548 ข้อ 15 (1) จึงสมควรให้โจทก์เบิกจ่ายเงินส่วนต่างในอัตราเหมาจ่ายตามข้อบังคับเดิม และสิทธิเช่าซื้อตามข้อบังคับใหม่ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2547 จนถึงเดือนสิงหาคม 2548 และใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านกรณีเช่าซื้อตามข้อบังคับใหม่จนกว่าสิทธิจะยุติลง ซึ่งเมื่อพิจารณาจากบันทึกข้อความฉบับนี้เนื้อความในข้อ 1 และข้อ 3 จะแสดงให้เห็นได้ว่า ข้อบังคับเดิมหรือข้อบังคับสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง ว่าด้วยค่าเช่าบ้าน พ.ศ.2533 ข้อ 15 (1) มีความแตกต่างจากข้อบังคับใหม่หรือข้อบังคับคณะกรรมการสงเคราะห์การทำสวนยาง ว่าด้วยค่าเช่าบ้าน พ.ศ.2548 ข้อ 15 (1) โจทก์จึงไม่สามารถเบิกค่าเช่าบ้านเพื่อผ่อนชำระเงินกู้เพื่อชำระราคาบ้านที่ค้างชำระตามระเบียบข้อบังคับเดิมซึ่งใช้บังคับมาตั้งแต่ช่วงเวลาที่โจทก์กู้ยืมเงินจากธนาคารออมสิน สาขาตรัง เพื่อก่อสร้างบ้านที่อยู่อาศัย ซึ่งเมื่อพิจารณาข้อบังคับสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง ว่าด้วยค่าเช่าบ้าน พ.ศ.2533 ข้อ 15 (1) เอกสารท้ายคำแถลงฉบับลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2551 มีข้อความว่า “ในกรณีที่ผู้ซึ่งมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านตามข้อบังคับนี้ ได้เช่าซื้อบ้านหรือผ่อนชำระเงินกู้เพื่อชำระราคาบ้านที่ค้างชำระอยู่ในท้องที่ที่ไปประจำสำนักงานใหม่ เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยและได้อาศัยอยู่จริงในบ้านนั้น ให้ผู้นั้นมีสิทธินำหลักฐานการชำระค่าเช่าซื้อหรือค่าผ่อนชำระเงินกู้ดังกล่าวมาเบิกค่าเช่าบ้านได้ไม่เกินจำนวนเงินที่กำหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านท้ายข้อบังคับนี้ ตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ (1) ตนเอง และสามีหรือภริยา ได้ทำการผ่อนชำระค่าเช่าซื้อหรือผ่อนชำระเงินกู้เพื่อชำระราคาบ้านอยู่เพียงหลังเดียวในท้องที่นั้น” จะเห็นได้ว่า ตามข้อบังคับฉบับเดิมนี้กำหนดให้การใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านเพื่อชำระราคาบ้านจะต้องอยู่ในท้องที่ที่ไปประจำสำนักงานใหม่ เบิกได้ไม่เกินจำนวนเงินที่กำหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านท้ายข้อบังคับ โดยตนเองและสามีหรือภริยาได้ทำการผ่อนชำระอยู่เพียงหลังเดียวในท้องที่นั้น แต่ข้อบังคับคณะกรรมการสงเคราะห์การทำสวนยาง ว่าด้วยค่าเช่าบ้าน พ.ศ.2548ข้อ 15 (1) กำหนดให้ “ในกรณีที่พนักงานซึ่งมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านตามข้อบังคับนี้ ได้เช่าซื้อหรือผ่อนชำระเงินกู้เพื่อชำระราคาบ้านที่ค้างชำระอยู่ในท้องที่หนึ่งท้องที่ใด ที่สามารถเดินทางไปปฏิบัติงานประจำสำนักงานใหม่ได้ตามหลักเกณฑ์ที่ผู้อำนวยการกำหนด เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยและได้อาศัยอยู่จริงในบ้านนั้น ให้พนักงานผู้นั้นมีสิทธินำหลักฐานการชำระค่าเช่าซื้อหรือค่าผ่อนชำระเงินกู้ดังกล่าวมาเบิกค่าเช่าบ้านได้ตามที่จ่ายจริง ไม่เกินอัตราร้อยละ 20 ของเงินเดือนและอย่างสูงไม่เกินจำนวนเงินที่คณะกรรมการกำหนดตามข้อ 6 ตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ (1) ตนเองหรือคู่สมรส ได้ทำการผ่อนชำระค่าเช่าซื้อหรือผ่อนชำระเงินกู้เพื่อชำระราคาบ้านในท้องที่นั้น จะเบิกจ่ายได้เพียงหลังเดียว” ตามข้อบังคับฉบับใหม่นี้มิได้กำหนดให้ต้องเป็นการเบิกค่าเช่าบ้านเพื่อชำระราคาบ้านเฉพาะในท้องที่ที่ไปประจำสำนักงานใหม่เท่านั้น แต่กำหนดให้เป็นบ้านที่อยู่ในท้องที่หนึ่งท้องที่ใดที่สามารถเดินทางไปปฏิบัติงานประจำสำนักงานใหม่ได้ด้วย โดยเปลี่ยนแปลงให้ตนเองหรือคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งทำการผ่อนชำระค่าเช่าซื้อหรือผ่อนชำระเงินกู้เพื่อชำระราคาบ้านในท้องที่นั้นสามารถจะเบิกจ่ายค่าเช่าบ้านได้เพียงหลังเดียว โจทก์เคยร่วมกับสามีกู้ยืมเงินจากธนาคารออมสิน สาขาตรัง ในโครงการสินเชื่อเคหะสงเคราะห์เพื่อก่อสร้างบ้านพักเพื่ออยู่อาศัยร่วมกันมาก่อน แม้ต่อมาสามีโจทก์แต่เพียงผู้เดียวได้กู้เงินจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาตรัง ตามโครงการเคหะสงเคราะห์และสวัสดิการแก่พนักงานการไฟฟ้า เพื่อใช้สิทธิในส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายลดลง ซึ่งหากเป็นการกู้เงินตามสัญญาใหม่ที่มีจำนวนเงินไม่สูงกว่าจำนวนหนี้เดิมก็จะเป็นการชำระหนี้ราคาบ้านที่ค้างชำระอยู่เดิมนั่นเอง และแม้สามีโจทก์จะเป็นผู้กู้เงินตามสัญญาใหม่แต่เพียงผู้เดียว บ้านที่ปลูกสร้างขึ้นดังกล่าวโดยอาศัยเงินกู้นั้นก็เป็นสินสมรสของโจทก์ด้วย และนอกจากโจทก์จะต้องรับผิดชำระหนี้ที่สามีโจทก์ได้กู้ยืมตามโครงการเคหะสงเคราะห์และสวัสดิการแก่พนักงานการไฟฟ้า ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาตรัง ดังกล่าวเพราะเป็นหนี้ร่วมแล้ว โจทก์ยังต้องรับผิดในฐานะผู้จำนองที่ดินเป็นประกันเงินกู้ดังกล่าวด้วย ดังนั้นไม่ว่าสามีโจทก์หรือโจทก์จะเป็นผู้ทำสัญญากู้ยืมเงินเอง สิทธิและหน้าที่ของโจทก์ก็ไม่มีความแตกต่างกัน โจทก์จึงมีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านเพื่อชำระค่าผ่อนชำระเงินกู้ดังกล่าวได้ตามเงื่อนไขของข้อบังคับคณะกรรมการสงเคราะห์การทำสวนยาง ว่าด้วยค่าเช่าบ้าน พ.ศ.2548 ข้อ 15 ข้อบังคับดังกล่าวจึงถือว่าเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างโดยปริยายและเป็นคุณกับบรรดาลูกจ้างของกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางซึ่งรวมทั้งโจทก์ด้วย โจทก์ย่อมมีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านย้อนหลังได้จนถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2547 ตามข้อบังคับดังกล่าว ดังนี้ ระเบียบสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินค่าเช่าบ้าน พ.ศ.2550 ข้อ 21 ดังกล่าว ในส่วนที่กำหนดให้เบิกจ่ายย้อนหลังได้ไม่เกินวันที่ 2 พฤศจิกายน 2549 ที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามข้อบังคับคณะกรรมการสงเคราะห์การทำสวนยาง ว่าด้วยค่าเช่าบ้าน พ.ศ.2548 จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณและลูกจ้างมิได้ยินยอม จึงไม่สามารถใช้เพื่อตัดสิทธิของโจทก์ให้ลดน้อยลงจากสิทธิที่โจทก์มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านเพื่อผ่อนชำระเงินกู้เพื่อชำระราคาบ้านที่ค้างชำระย้อนหลังได้ถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2547 ตามข้อบังคับดังกล่าวได้ โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างจึงมีสิทธิเบิกเงินค่าเช่าบ้านจากสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางซึ่งเป็นนายจ้างตามข้อบังคับคณะกรรมการสงเคราะห์การทำสวนยาง ว่าด้วยค่าเช่าบ้าน พ.ศ.2548 ข้อ 15 (1) ย้อนหลังไปถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2547 คำสั่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่เรียกคืนเงินค่าเช่าบ้านจากโจทก์จึงไม่ชอบ จึงมีเหตุให้เพิกถอนคำสั่งที่เกี่ยวข้องดังกล่าวข้างต้น โดยให้จำเลยทั้งสองดำเนินการการได้รับสิทธิของโจทก์โดยปฏิบัติตามแนวทางตามคำสั่งสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางจังหวัดตรัง คำสั่งที่ 33/2550 ส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองคืนเงินค่าเช่าบ้านที่เบิกมาแล้วตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2547 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2549 จำนวน 64,602 บาท พร้อมดอกเบี้ยนั้น เมื่อได้วินิจฉัยให้โจทก์ได้รับสิทธิเบิกเงินค่าเช่าบ้านจากสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางตามข้อบังคับคณะกรรมการสงเคราะห์การทำสวนยาง ว่าด้วยค่าเช่าบ้าน พ.ศ.2548 ข้อ 15 (1) ย้อนหลังไปถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2547 โดยให้จำเลยทั้งสองดำเนินการการได้รับสิทธิของโจทก์โดยปฏิบัติตามแนวทางตามคำสั่งสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางจังหวัดตรัง คำสั่งที่ 33/2550 ลงวันที่ 2 ตุลาคม 2550 อันมีผลให้โจทก์มีสิทธิที่จะได้รับเงินค่าเช่าบ้านตามหลักฐานที่นำมาเบิกได้ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2547 ตามข้อบังคับดังกล่าวมีผลใช้บังคับซึ่งรวมถึงสิทธิการได้รับเงินค่าเช่าบ้านจำนวนที่โจทก์ขอมาดังกล่าวอยู่ด้วยและได้วินิจฉัยให้จำเลยทั้งสองดำเนินการให้โจทก์ได้รับสิทธิดังกล่าวไว้แล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยให้คืนเงินจำนวนดังกล่าวซ้ำอีก ที่ศาลแรงงานภาค 9 วินิจฉัยว่าโจทก์มิได้เป็นคู่สัญญา จึงไม่มีสิทธิเบิกจ่ายค่าเช่าบ้านตามฟ้องมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกเลิกคำสั่งตามบันทึกข้อความสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางที่ กษ 2029/385 ลงวันที่ 6 ธันวาคม 2550 เรื่อง ยกเลิกคำสั่ง สกย. จ.ตรัง ที่ 33/2550 และเรียกเงินค่าเช่าบ้านคืน ยกเลิกคำสั่งตามบันทึกข้อความสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางจังหวัดตรัง ที่ กษ 2013/0003 ลงวันที่ 3 มกราคม 2551 และยกเลิกคำสั่งสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางจังหวัดตรัง ที่ 24/2550 ลงวันที่ 23 สิงหาคม 2550 เรื่อง เรียกเงินคืนค่าเช่าบ้าน ให้โจทก์มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านตามข้อบังคับคณะกรรมการสงเคราะห์การทำสวนยาง ว่าด้วยค่าเช่าบ้าน พ.ศ.2548 ข้อ 15 (1) จากสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง ย้อนหลังไปถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2547 โดยให้จำเลยทั้งสองดำเนินการการได้รับสิทธิของโจทก์ดังกล่าวโดยปฏิบัติตามแนวทางตามคำสั่งสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางจังหวัดตรัง คำสั่งที่ 33/2550 ลงวันที่ 2 ตุลาคม 2550

Share