คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 112/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดมีผลเพียงทำให้ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ป. ไม่สามารถดำเนินกิจการได้ด้วยตนเองต้องให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นผู้ดำเนินการแทน หามีผลทำให้สัญญาระหว่างโจทก์กับห้างดังกล่าวต้องสิ้นสุดหรือระงับไปด้วย โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าปรับได้จนถึงวันที่โจทก์บอกเลิกสัญญา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 3,530,584.09 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,906,971.57 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ก่อนจำเลยยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนจำเลย
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยทำนองว่าเมื่อมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลประสิทธิ์สุพรรณแล้วมีผลให้สัญญาระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลประสิทธิ์สุพรรณเป็นอันเลิกกันโดยปริยาย และเมื่อนำหนี้ระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลประสิทธิ์สุพรรณมาหักกลบลบหนี้กันแล้ว ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลประสิทธิ์สุพรรณไม่เป็นหนี้โจทก์ จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิด เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น และจำเลยต้องรับผิดตามฟ้องนั้น เห็นว่า แม้จำเลยจะให้การต่อสู้คดีเพียงว่าโจทก์ผ่อนเวลาในการชำระหนี้ซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งสัญญาเท่านั้น โจทก์ก็ยังมีหน้าที่นำสืบถึงจำนวนค่าเสียหายของโจทก์และศาลมีอำนาจพิจารณากำหนดค่าเสียหายให้ตามที่สมควร การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยทำนองว่า เมื่อมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลประสิทธิ์สุพรรณแล้วมีผลให้สัญญาระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลประสิทธิ์สุพรรณเป็นอันเลิกกันโดยปริยายก็เพื่อจะวินิจฉัยเกี่ยวกับการคิดคำนวณค่าปรับรายวันตามสัญญา โดยโจทก์คิดค่าปรับนับตั้งแต่วันครบกำหนดในสัญญาจนถึงวันที่บอกเลิกสัญญาคือวันที่ 13 เมษายน 2536 เป็นเวลา 204 วัน แต่เมื่อศาลเห็นว่าคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลประสิทธิ์สุพรรณเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2535 มีผลให้สัญญาระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลประสิทธิ์สุพรรณเป็นอันเลิกกันโดยปริยาย โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิที่จะเรียกค่าปรับดังกล่าวต่อไปอีก ค่าปรับดังกล่าวจึงคิดคำนวณได้ถึงเพียงวันที่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเท่านั้น ซึ่งเป็นเวลาเพียง 78 วัน ประกอบกับข้อเท็จจริงเรื่องที่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลประสิทธิ์สุพรรณก็เป็นข้อเท็จจริงที่ได้จากคำฟ้องและทางนำสืบพยานของโจทก์ คำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองเกี่ยวกับคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลประสิทธิ์สุพรรณจึงไม่ใช่เรื่องนอกประเด็น อย่างไรก็ตามคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลประสิทธิ์สุพรรณมีผลเพียงทำให้ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลประสิทธิ์สุพรรณไม่สามารถดำเนินกิจการได้ด้วยตนเองต้องให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นผู้ดำเนินการแทน หามีผลทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลประสิทธิ์สุพรรณต้องสิ้นสุดหรือระงับไปด้วย สัญญาระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลประสิทธิ์สุพรรณจึงยังไม่ระงับสิ้นไป โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าปรับได้จนถึงวันที่โจทก์บอกเลิกสัญญา
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 924,935.57 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคิดวันฟ้อง (วันที่ 15 ธันวาคม 2542) ต้องไม่เกิน 623,612.52 บาท ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความรวม 20,000 บาท

Share