แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
“วัตถุระเบิด” ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 4(3) จำกัดความได้ 3 กรณีคือ เป็นวัตถุที่สามารถส่งกำลังดันอย่างแรงต่อสิ่งห้อมล้อมโดยฉับพลัน ในเมื่อระเบิดขึ้นโดยมีสิ่งเหมาะมาทำให้เกิดกำลังดันหรือโดยการสลายตัวของวัตถุระเบิดนั้น แต่ทั้งสองอย่างนี้จะต้องทำให้มีแรงทำลายหรือแรงประหารเกิดขึ้นด้วยและหมายรวมถึงเชื้อประทุต่าง ๆ หรือวัตถุอื่นใดอันมีสภาพคล้ายคลึงกันซึ่งใช้หรือทำขึ้นเพื่อให้เกิดการระเบิดซึ่งรัฐมนตรีจะได้ประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา โจทก์ไม่สามารถนำสืบให้เห็นว่าน้ำมันเบนซินที่บรรจุอยู่ในขวดเบียร์ ขวดน้ำ และถึงแกลลอนของกลางนั้น เมื่อจุดไฟจากเศษผ้าซึ่งเป็นสายชนวนแล้ว จะทำให้เกิดการระเบิดส่งกำลังดันอย่างแรงต่อสิ่งห้อมล้อมโดยฉับพลันหรือไม่ และไม่ได้ความว่ากำลังดันนั้นทำให้มีแรงทำลายหรือแรงประหารอย่างไรแต่กลับได้ความว่าของกลางเป็นระเบิดเพลิงชนิดทำเอง เมื่อจุดให้เกิดปะทุจะทำให้เกิดการไหม้ไฟและลุกไหม้ ซึ่งอานุภาพของระเบิดเพลิงทางสะเก็ดนั้นไม่มี มีแต่ทำให้เกิดเพลิงไหม้มากน้อยแล้วแต่การกระจายของน้ำมันเบนซิน จึงไม่สามารถส่งกำลังดันอย่างแรงต่อสิ่งห้อมล้อมโดยฉับพลัน และไม่มีกำลังดันทำให้มีแรงทำลายหรือแรงประหารลักษณะของวัตถุของกลางก็ไม่ใช่เชื้อประทุหรือวัตถุที่มีสภาพคล้ายคลึงกับเชื้อประทุซึ่งใช้หรือทำขึ้นเพื่อให้เกิดการระเบิด ขวดเบียร์ ขวดน้ำ และถังแกลลอนที่บรรจุน้ำมันเบนซินจึงไม่ถือเป็นวัตถุระเบิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 4(3)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสิบได้ร่วมกันมีขวดเบียร์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 นิ้วสูง 10 นิ้ว ภายในบรรจุน้ำมันเบนซินประมาณครึ่งขวดจำนวน 9 ขวด ขวดน้ำพลาสติกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 นิ้ว สูง 9 นิ้ว ภายในบรรจุน้ำมันเบนซินประมาณครึ่งขวดจำนวน 2 ขวด ขวดพลาสติกแบบสี่เหลี่ยมขนาดกว้าง 6.5 นิ้ว หนา 2.5 นิ้ว สูง 6 นิ้วภายในบรรจุน้ำมันเบนซินประมาณครึ่งขวดจำนวน 1 ขวด โดยขวดเบียร์และขวดพลาสติกดังกล่าวมีเศษผ้ายาวประมาณ 1 ฟุต สอดไว้ภายในขวดสำหรับเป็นสายชนวนจุด และใช้เทปพลาสติกพันปิดปากขวดไว้ อันเป็นวัตถุระเบิดนอกจากที่กำหนดในกฎกระทรวงฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 ซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และจำเลยทั้งสิบได้ร่วมกันย้ายวัตถุระเบิดดังกล่าวจากบริเวณหน้าโรงเรียนบ้านบางกะปิ ถนนนวมินทร์ ไปยังบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ สาขาบางกะปิ ถนนลาดพร้าว โดยไม่ได้รับหนังสืออนุญาตจากเจ้าพนักงาน เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสิบคนได้พร้อมด้วยวัตถุระเบิดดังกล่าวและไฟแช็กแก๊ส 2 อัน ที่จำเลยทั้งสิบเตรียมไว้จุดระเบิดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 43, 55, 78, 80 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 83, 91ริบของกลางทั้งหมด
จำเลยทั้งสิบให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 7 ขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 9 ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 9
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 และที่ 10 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 43, 55, 78, 80 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นความผิดต่างกรรมกัน ให้เรียงกระทงลงโทษฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ ให้จำคุกคนละ 2 ปี ฐานเคลื่อนย้ายวัตถุระเบิดโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ปรับคนละ 2,000 บาท รวมจำคุกคนละ 2 ปี และปรับคนละ 2,000 บาท จำเลยที่ 1ถึงที่ 8 และที่ 10 ให้การในชั้นจับกุมและสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสี่ คงจำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน และปรับคนละ 1,500 บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลางทั้งหมด
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 และที่ 10 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง แต่ให้ขังจำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 และที่ 10 ไว้ในระหว่างฎีกา
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสิบได้พร้อมด้วยขวดเบียร์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 นิ้ว สูง 10 นิ้ว ภายในบรรจุน้ำมันเบนซินประมาณครึ่งขวดจำนวน 9 ขวดขวดน้ำพลาสติกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 นิ้ว สูง 9 นิ้ว ภายในบรรจุน้ำมันเบนซินประมาณครึ่งขวดจำนวน 2 ขวด และถังแกลลอนพลาสติกแบบสี่เหลี่ยมขนาดกว้าง6.5 นิ้ว หนา 2.5 นิ้ว สูง 6 นิ้ว ภายในบรรจุน้ำมันเบนซินประมาณครึ่งถัง โดยขวดเบียร์ขวดน้ำ และถังแกลลอนมีเศษผ้ายาวประมาณ 1 ฟุต สอดไว้ภายในขวดเป็นของกลางคดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าของกลางดังกล่าวเป็นวัตถุระเบิดตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า บทบัญญัติวิเคราะห์ศัพท์คำว่า “วัตถุระเบิด” ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 4(3) บัญญัติว่า “วัตถุระเบิด” คือ วัตถุที่สามารถส่งกำลังดันอย่างแรงต่อสิ่งห้อมล้อมโดยฉับพลันในเมื่อระเบิดขึ้นโดยมีสิ่งเหมาะมาทำให้เกิดกำลังดันหรือโดยการสลายตัวของวัตถุระเบิดนั้นทำให้มีแรงทำลายหรือแรงประหารกับหมายความรวมตลอดถึงเชื้อประทุต่าง ๆ หรือวัตถุอื่นใดอันมีสภาพคล้ายคลึงกันซึ่งใช้หรือทำขึ้นเพื่อให้เกิดการระเบิดซึ่งรัฐมนตรีจะได้ประกาศระบุไว้ในราชกิจจานุเบกษาตามคำวิเคราะห์ศัพท์คำว่า”วัตถุระเบิด” ดังกล่าวน่าจะจำกัดความได้เป็น 3 กรณี คือ 1. เป็นวัตถุที่สามารถส่งกำลังดันอย่างแรงต่อสิ่งห้อมล้อมโดยฉับพลันในเมื่อระเบิดขึ้นโดยมีสิ่งเหมาะมาทำให้เกิดกำลังดันหรือโดยการสลายตัวของวัตถุระเบิดนั้น 2. แต่ทั้งสองอย่างนี้จะต้องทำให้มีแรงทำลายหรือแรงประหารเกิดขึ้นด้วย และ 3. หมายรวมถึงเชื้อประทุต่าง ๆ หรือวัตถุอื่นใดอันมีสภาพคล้ายคลึงกันซึ่งใช้หรือทำขึ้นเพื่อให้เกิดการระเบิดซึ่งรัฐมนตรีจะได้ประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา แต่คดีนี้โจทก์ไม่สามารถนำสืบอธิบายให้เห็นว่าน้ำมันเบนซินที่บรรจุอยู่ในขวดเบียร์ ขวดน้ำ และถังแกลลอนของกลางนั้น เมื่อจุดไฟจากเศษผ้าซึ่งเป็นสายชนวนแล้ว จะทำให้เกิดการระเบิดส่งกำลังดันอย่างแรงต่อสิ่งห้อมล้อมโดยฉับพลันหรือไม่ และเป็นอันไม่ได้ความต่อไปด้วยว่ากำลังดันนั้นทำให้มีแรงทำลายหรือแรงประหารอย่างไร กลับได้ความจากรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารหมาย จ.1 ตอนท้ายระบุว่า “ของกลางอยู่ในสภาพใช้การได้ เมื่อจุดแล้วขว้างปาไปจะทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้และสามารถทำอันตรายต่อร่างกายให้ได้รับบาดเจ็บตลอดจนทรัพย์สินเสียหายได้”และได้ความจากคำเบิกความของพันตำรวจโทวิชัย กองปัญโญ พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้ตรวจพิสูจน์ของกลางคดีนี้ว่า เศษผ้าที่สอดไว้ที่ปากขวดของกลางทั้งสิ้นนั้นมีลักษณะเป็นชนวนจุดสำหรับขว้างปาออกไปเพื่อทำให้เกิดเพลิงไหม้ ของกลางอยู่ในสภาพที่สามารถใช้จุดระเบิดได้ทุกขวด โดยวิธีจุดที่ชนวนแล้วขว้างออกไปทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้ และเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายและทรัพย์สินเสียหาย และพยานตอบทนายจำเลยที่ 1 ที่ 3และที่ 5 ถามค้านว่า “ของกลางคดีนี้นั้นเป็นระเบิดเพลิงชนิดทำเอง ซึ่งคุณสมบัติของระเบิดเพลิงนั้นเมื่อจุดทำให้เกิดประทุ จะทำให้เกิดการไหม้ไฟและลุกไหม้ ซึ่งอานุภาพของระเบิดเพลิงทางสะเก็ดนั้นไม่มี คือเมื่อปาขวดออกไปแล้วขวดแตก บริเวณนั้นจะเกิดไฟไหม้ซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำมันบรรจุไว้ในขวดมีมากเพียงใด จะทำให้เกิดเพลิงไหม้ระเบิดเพลิงชนิดนี้จะไม่แตกต่างกับนำเชื้อเพลิงหรือวัตถุไปวางไว้จุดไฟแล้ววิ่งออกมาการกระจายของระเบิดเพลิงเวลาแตกนั้นขึ้นอยู่กับแรงกระแทก กรณีที่ถูกวัตถุที่แข็งเช่นพื้นนั้นจะทำให้กระจายมาก แต่หากถูกพื้นดินอาจจะทำให้ไม่เกิดการกระจายเลย”ดังนั้น เมื่อได้ความว่าวัถตุของกลางไม่มีสะเก็ดระเบิด มีแต่ทำให้เกิดไฟไหม้มากน้อยแล้วแต่การกระจายของน้ำมันเบนซิน จึงไม่สามารถส่งกำลังดันอย่างแรงต่อสิ่งห้อมล้อมโดยฉับพลัน และไม่มีกำลังดันทำให้มีแรงทำลายหรือแรงประหาร อีกทั้งลักษณะของวัตถุของกลางก็ไม่ใช่เชื้อประทุหรือวัตถุที่มีสภาพคล้ายคลึงกับเชื้อประทุ ซึ่งใช้หรือทำขึ้นเพื่อให้เกิดการระเบิดดังที่มาตรา 4(3) ให้คำวิเคราะห์ศัพท์ไว้ ดังนั้น ขวดเบียร์ ขวดน้ำและถังแกลลอนที่บรรจุน้ำมันเบนซินของกลาง จึงไม่ถือว่าเป็นวัตถุระเบิดตามความหมายของพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4(3) การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 และที่ 10 มีขวดเบียร์ ขวดน้ำและถังแกลลอนที่บรรจุน้ำมันเบนซินของกลางไว้ในครอบครองและเคลื่อนย้าย จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน