แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายเพียงข้อเดียวว่าโจทก์ทั้งสามมีอำนาจฟ้องหรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจะต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจาก พยานหลักฐานในสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา247 โจทก์ทั้งสามยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566 วรรคแรก ทั้งคดีไม่ปรากฏว่าอำนาจปกครองอยู่กับบิดาหรือมารดาแต่ฝ่ายเดียว ดังเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตรา 1566 วรรคสอง ต้องถือว่าโจทก์ทั้งสามอยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดาทั้งสองคน บิดาหรือมารดาคนใดคนหนึ่งจึงมีสิทธิใช้อำนาจปกครองโจทก์ทั้งสามได้ มารดาจึงเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมตามมาตรา 1569 มีสิทธิฟ้องคดีแทนโจทก์ ทั้งสามได้ ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าบิดาเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรก่อนมารดานั้น ไม่มีกฎหมายสนับสนุน ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าที่ดินตามฟ้องเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ทั้งสามมิใช่สินสมรสระหว่างสามีภริยา ส. ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของโจทก์ทั้งสามจึงมีอำนาจฟ้องคดีได้ตามลำพังโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากสามี.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดิน
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสาม ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไปและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเพียงข้อเดียวว่าโจทก์ทั้งสามมีอำนาจฟ้องหรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาจะต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายณรงค์และนางสุภาพร ตรากิจธรกุล ขณะฟ้องคดีโจทก์ทั้งสามยังไม่บรรลุนิติภาวะศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566 โจทก์ทั้งสามซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดา คดีไม่ปรากฏว่าอำนาจปกครองอยู่กับบิดาหรือมารดาแต่ฝ่ายเดียวดังเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตราดังกล่าว ดังนั้นจึงต้องถือว่าโจทก์ทั้งสามอยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดาทั้งสองคน บิดาหรือมารดาคนใดคนหนึ่งจึงมีสิทธิใช้อำนาจปกครองโจทก์ทั้งสามได้ ที่จำเลยฎีกาว่าบิดาเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรก่อนมารดานั้นไม่มีกฎหมายสนับสนุน มาตรา 1569 บัญญัติว่า ผู้ใช้อำนาจปกครองเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตร คดีนี้นางสุภาพร ตรากิจธรกุล มารดาเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองโจทก์ทั้งสาม จึงเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมมีสิทธิฟ้องคดีแทนโจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นผู้เยาว์ได้ ที่จำเลยฎีกาว่านางสุภาพรเป็นหญิงมีสามี ไม่ได้รับความยินยอมเป็นหนังสือให้ฟ้องคดี จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ข้อเท็จจริงตามฟ้องโดยจำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธฟังได้ว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสามมิใช่สินสมรสระหว่างสามีภริยา นางสุภาพรในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของโจทก์ทั้งสามจึงมีอำนาจฟ้องคดีได้ตามลำพังโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากสามี
พิพากษายืน.