คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2672/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มูลหนี้ที่โจทก์แต่ละคนฟ้องเรียกจากจำเลยตามสัญญาเล่นแชร์ที่โจทก์แต่ละคนและจำเลยต่างร่วมเล่นแชร์ด้วยกันโดยมีนาง ฉ.ซึ่งหลบหนีไปแล้วเป็นนายวงแชร์ เป็นมูลหนี้ที่แยกต่างหากจากกันคือจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์แต่ละคน 9,510 บาท โจทก์ทั้งเก้ามิได้ฟ้องในฐานะที่เป็นเจ้าหนี้ร่วมของจำเลย ทุนทรัพย์ในคดีของโจทก์แต่ละคนจึงแยกต่างหากจากกันคนละ 9,510 บาท คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224
จำเลยอุทธรณ์ว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาไม่น่าเชื่อ ข้อเท็จจริงจึงน่ารับฟังดังที่จำเลยต่อสู้ ซึ่งศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยว่าพยานโจทก์ที่นำสืบมายังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยต้องรับผิดเงินค่าแชร์ที่ประมูลไปแล้วให้แก่โจทก์ แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 242 (1) เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจรับพิจารณาอุทธรณ์ข้อดังกล่าวของจำเลยแล้ว ศาลฎีกาก็พิจารณาข้อฎีกาของโจทก์ต่อไปไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ทั้งเก้าฟ้องว่า โจทก์ทั้งเก้าและจำเลยร่วมเล่นแชร์ด้วยกันหุ้นละ๑,๐๐๐ บาท มีนางฉวีวรรณเป็นนายวงแชร์ จำเลยประมูลไปแล้ว ๖ หุ้น ต่อมานายวงหลบหนีไปเป็นเหตุให้วงแชร์ล้มเลิก โจทก์ทั้งเก้าซึ่งยังประมูลแชร์ไม่ได้จึงทวงถามจำเลยให้ชำระเงินหุ้นแชร์กับดอกเบี้ยรวมเป็นหนี้ที่จำเลยจะต้องชำระให้แก่โจทก์ทั้งเก้า ๘๕,๕๙๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ประมูลและรับผลประโยชน์ไปแล้ว ส่วนจำเลยได้ส่งชำระค่าหุ้นแชร์โดยไม่ติดค้าง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๘๕,๕๙๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ และที่ ๗ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ทั้งเก้าฟ้องว่า โจทก์ทั้งเก้าและจำเลยต่างร่วมเล่นแชร์ด้วยกัน มีนางฉวีวรรณ ศรีสังข์ เป็นนายวงแชร์ มีจำนวนผู้ร่วมเล่น ๔๒ หุ้น หุ้นละ๑,๐๐๐ บาท จำเลยเล่นแชร์ดังกล่าวจำนวน ๘ หุ้น และได้ใช้สิทธิประมูลไปแล้ว ๖ หุ้น โดยได้รับเงินจากผู้ร่วมเล่นครบแล้ว ต่อมานางฉวีวรรณหลบหนีไป เป็นเหตุให้วงแชร์ล้ม โจทก์ทั้งเก้ายังประมูลแชร์ไม่ได้ จำเลยจะต้องชำระเงินและดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ทั้งเก้าทั้งสิ้น ๘๕,๕๙๐ บาทดังนั้นมูลหนี้ที่โจทก์แต่ละคนฟ้องเรียกจากจำเลยนั้นแยกต่างหากจากกันคือ จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์แต่ละคนคนละ ๙,๕๑๐ บาท โจทก์ทั้งเก้ามิได้ฟ้องในฐานะที่เป็นเจ้าหนี้ร่วมของจำเลย ทุนทรัพย์ในคดีของโจทก์แต่ละคนจึงแยกต่างหากจากกันคนละ ๙,๕๑๐ บาท คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๔ ที่จำเลยอุทธรณ์ข้อหนึ่งว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาไม่น่าเชื่อ ข้อเท็จจริงจึงน่ารับฟังดังที่จำเลยต่อสู้ ซึ่งศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยว่า พยานโจทก์ที่นำสืบมายังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยต้องรับผิดเงินค่าแชร์ที่ประมูลไปแล้วให้แก่โจทก์ทั้งเก้าตามฟ้อง แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งเก้า เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๒ (๑) เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจรับพิจารณาอุทธรณ์ข้อดังกล่าวของจำเลยแล้ว ศาลฎีกาก็พิจารณาข้อฎีกาของโจทก์ต่อไปไม่ได้
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่วินิจฉัยข้อเท็จจริงและที่พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งเก้า และให้ยกฎีกาของโจทก์ที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ และที่ ๗ คงให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share