แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ที่พิพาทของโจทก์มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โจทก์ให้จำเลยลงแรงทำไร่อ้อยแบ่งผลกำไรโดยโจทก์เป็นฝ่ายลงทุนค่าใช้จ่ายจำเลยจึงเป็นผู้ยึดถือครอบครองที่พิพาทในฐานะผู้แทนของโจทก์และคดีอาญาที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้อง ส. ภริยาโจทก์ข้อหาบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์นั้น ศาลพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ การครอบครองที่พิพาทของจำเลยในระหว่างดำเนินคดีอาญา ก็ต้องถือว่าเป็นการครอบครองแทนโจทก์สามี ส.ผู้ชนะคดี จำเลยจะถือว่าการครอบครองที่พิพาทของตนระหว่างนั้นเป็นการครอบครองโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 หาได้ไม่ และจะอ้างกำหนดเวลาฟ้องเรียกคืนการครอบครองตามมาตรา 1375 ขึ้นยันโจทก์ไม่ได้เช่นกัน โจทก์จึงไม่ขาดสิทธิฟ้องเอาคืนที่พิพาทจากจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 244 โจทก์ให้จำเลยเช่าทำไร่จำเลยติดค้างค่าเช่า โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดินแล้วขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองเหนือที่พิพาท ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์นำคดีมาฟ้องภายหลังจากที่จำเลยโต้แย้งสิทธิในที่พิพาทด้วยการฟ้องภริยาโจทก์เป็นคดีอาญาเป็นเวลานานกว่า1 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโดยนายปิยะ อุบัติสุข ผู้รับมรดกความและบริวารออกจากที่พิพาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 5,400 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกจากที่พิพาทศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ต่อไปว่า โจทก์ขาดสิทธิฟ้องเอาคืนที่พิพาทหรือไม่ เห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ให้จำเลยลงแรงทำไร่อ้อยแบ่งผลกำไรโดยโจทก์เป็นฝ่ายลงทุนค่าใช้จ่าย จำเลยจึงยึดถือหรือครอบครองที่พิพาทในฐานะผู้แทนของโจทก์ และคดีอาญาที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องนางสุวรรณภริยาโจทก์ในคดีนี้ ข้อหาบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์และเรียกค่าเสียหายนั้น ปรากฏว่า ศาลพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ การครอบครองที่พิพาทของจำเลยในระหว่างดำเนินคดีอาญาดังกล่าวต้องถือว่าเป็นการครอบครองแทนโจทก์สามีของนางสุวรรณา ผู้ชนะคดี จำเลยจะถือว่าการครอบครองที่พิพาทของตนระหว่างนั้นเป็นการครอบครองโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 หาได้ไม่ และจะอ้างกำหนดเวลาฟ้องเรียกคืนการครอบครองตามมาตรา 1375 ขึ้นยันโจทก์ไม่ได้เช่นกัน โจทก์จึงไม่ขาดสิทธิฟ้องเอาคืนที่พิพาทจากจำเลยที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น