แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยรับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายโดยรู้อยู่ว่าเป็นทรัพย์ที่ถูกคนร้ายลักมาซึ่งทั้งสองศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี 3 เดือนจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง การที่จำเลยฎีกาว่าจำเลย นำมาใช้โดยเปิดเผย ผู้เสียหายเอาของกลางคืนก็คืนให้โดยดี ยังไม่พอฟังว่าจำเลยรับรถจักรยานยนต์ไว้ โดยรู้อยู่แล้วว่า เป็นทรัพย์อันได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์นั้น จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน จึงเป็นฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกา จึงไม่รับฎีกาจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระสำคัญอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลสูง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 54)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 2 ปี 3 เดือน
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 53)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 54)
คำสั่ง
คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยที่ว่าจำเลยนำรถจักรยานยนต์ของกลางมาใช้โดยเปิดเผยและเมื่อผู้เสียหายมาเอาคืนจำเลยก็คืนให้แต่โดยดี ยังไม่พอฟังว่าจำเลยรับรถจักรยานยนต์ไว้โดยรู้อยู่ว่าเป็นทรัพย์อันได้มา จากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการ รับฟังพยานหลักฐาน จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง