แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การแสดงข้อความอันเป็นเท็จจริงต่อประชาชน ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 นั้น หาได้ถือเอาจำนวนผู้เสียหาย ที่ถูกหลวงลวงมากหรือน้อย เป็นหลักไม่ แต่ถือเอาเจตนาแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนเป็นสำคัญ
เมื่อปรากฏว่าศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยคดีโดยไม่มีพยานหลักฐานในสำนวนหรือขัดกับพยานหลักฐานในสำนวน ดังที่จำเลยฎีกา ฎีกาของจำเลยเป็นเรื่องจำเลยเห็นว่าควร เชื่อตามพยานหลักฐานของฝ่ายจำเลย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาของจำเลยที่ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดอาญา เพราะจำเลยมิได้หลอกลวงผู้เสียหาย ก็เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เช่นกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันนำเอาความเท็จมากล่าวหลอกลวง ผู้เสียหายว่า จำเลยเป็นหัวหน้าฝ่ายเครดิตการเงินและช่างใหญ่ในบริษัทบรอยสยามอินเตอร์ เนชั่นแนล ไฟแนนท์ จำกัด ซึ่งเป็นสถาบันการเงินมีโครงการให้กู้เงินเพื่อการอุตสาหกรรม และอื่น ๆ หากผู้เสียหายเข้าเป็นสมาชิกโดยมอบเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ให้แก่บริษัทของจำเลยแล้ว ภายใน กำหนด ๑ เดือน บริษัทของจำเลยจะพิจารณาให้ผู้เสียหาย กู้เงินจำนวนไม่จำกัด เพื่อนำไปขยายโรงงานทำน้ำตายทราย หากไม่ได้ รับอนุมัติก็จะคืนเงินให้แก่ผู้เสียหาย โจทก์หลงเชื่อจึงมอบเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทา ให้จำเลยกับพวกไป ความจริงจำเลยกับพวกตั้ง บริษัทขึ้นมาเพื่อหลอกลวงผู้เสียหายและประชาชน ไม่มีเงินทุนจะให้กู้ ไม่มีเจตนาจะให้เงินกู้หรือคืนเงินที่รับไว้แล้ว ขอให้ลงโทษจำเลยตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑, ๓๔๓, ๘๓ และให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๑๐๐,๐๐๐ บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ผู้เสียหาย ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓, ๘๓ ให้จำคุกคนละ ๔ ปี ให้จำเลยทั้งสองคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๑๐๐,๐๐๐ บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้แล้วว่า โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นถึงการที่จำเลยหลอกลวงรายอื่นอีก ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองฉ้อโกงประชาชนจึงจัดต่อกฎหมาย เพราะเมื่อมีการหลอกลวงรายเดียว ย่อมไม่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว การแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓ นั้น หาได้ถือเอาจำนวนผู้เสียหาย ที่ถูกหลวงลวงมากหรือน้อย เป็นหลักไม่ แต่ถือเอาเจตนาแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนเป็นสำคัญ คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังว่าบริษัทบรอยสยามอินเตอร์เนชั่นแนล ไฟแนนท์ จำกัด ดำเนินการด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ เพื่อหลอกลวงประชาชน ได้พิมพ์ข้อความโฆษณาตามเอกสารหมาย จ. ชักชวนให้ประชาชน สมัครเป็นสมาชิก เพื่อให้สิทธิกู้เงิน โดยผู้สมัครต้องนำเงินมาฝากไว้แก่บริษัทตามจำนวนที่กำหนด เมื่อสมาชิกมาสมัครและขอกู้เงิน บริษัทไม่เคยให้กู้ ทั้งเงินที่สมาชิกฝากไว้ก็ไม่คืน กลับปิดสำนักงานและเลิกกิจการจำเลยทั้งสองทราบความข้อนี้มาแต่แรกได้ร่วมกันฉ้อโกงผู้เสียหาย โดยนำเอกสารหมาย จ. ๑ ไปใช้ในการชักจูงใจผู้เสียหาย จนผู้เสียหายหลงเชื่อสมัครเข้าเป็นสมาชิกและชำระเงินให้บริษัท และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยต่อไปว่า แม้โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นถึงการที่จำเลยหลอกลวงรายอื่นอีก ก็ถือได้ว่า เป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนแล้วดังนี้ เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยเจตนาแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนทั่วไป มิใช่จำกัดเฉพาะผู้เสียหาย จึงหาขัดต่อกฎหมายไม่ ประการที่สองจำเลยทั้งสองฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยไม่มีพยานหลักฐานในสำนวนสนับสนุน และขัดกับพยานหลักฐานในสำนวนหลายประกอบ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วปรากฏว่าศาลอุทธรณ์หาได้วินิจฉัยโดยไม่พยานหลักฐานในสำนวนหรือขัดกับพยานหลักฐานในสำนวนไม่ ฎีกาของจำเลยเป็นเรื่องจำเลยเห็นจำเลยเห็นว่าควรเชื่อตามพยานหลักฐานของฝ่ายจำเลยจึงเป็นฎีกาของจำเลยเป็นเรื่องจำเลยเห็นว่าควรเชื่อตามพยานหลักฐานของฝ่ายจำเลย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ประการสุดท้ายจำเลยทั้งสองฎีกาว่า สัญญาระหว่างผู้เสียหาย กับบริษัทบรอยสยามอินเตอร์เนชั่นแนล ไฟแนนท์ จำกัด เป็นเรื่องฝากทรัพย์ ซึ่งผู้เสียหายจะต้องใช้สิทธิเรียกร้อง ในทางแพ่ง การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดอาญา ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาจำเลยข้อนี้ใจความเป็นการฎีกาว่าบริษัทบรอยสยามอินเตอร์เนชั่นแนล ไฟแนนท์ จำกัด และจำเลยมิได้หลอกลวงผู้เสียหาย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้เช่นเดียวกัน
พิพากษายืน