คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 712/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยได้ครอบครองปลูกบ้านและทำประโยชน์ในที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเรื่อยมานับแต่บิดามารดาจำเลยยังมีชีวิตเป็นเวลานานหลายสิบปีที่พิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครอง แม้โจทก์จะจดทะเบียนการได้มา ซึ่งที่พิพาทโดยการครอบครองตามคำสั่งศาล โจทก์ก็ไม่มีสิทธิดีกว่าอันจะเป็นเหตุให้มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยเพราะโจทก์ไม่ใช่ผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 7627ตำบลบ่อโพง อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยการครอบครองตามคำสั่งศาล เดิมจำเลยได้ปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศเหนือกว้าง 4 วา ยาว 5 วา หลังจากที่ดินตกเป็นของโจทก์แล้วจำเลยยังอาศัยโจทก์ปลูกบ้านอยู่ต่อมา โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโจทก์แล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยและบริวารรื้อบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยกับบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไป
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้อาศัยที่ดินของโจทก์ มารดาจำเลยปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาทจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 80 ปีแล้ว จำเลยอยู่กับมารดาและได้ครอบครองที่พิพาททั้งแปลงด้วยการปลูกไม้ยืนต้นและพืชผักสวนครัวโดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ที่พิพาทจึงเป็นของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาทห้ามจำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นเจ้าของที่พิพาท จำเลยมีนางผวน โกมินทร์ นางละม่อมอักษรศาร เจ้าของที่ดินข้างเคียงและใกล้เคียงที่พิพาท และนายบุญเรือน สีเผือก ผู้ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของนางบุญเจือ โพธิ์ย้อย ซึ่งอยู่ติดกับที่พิพาททางด้านทิศตะวันออกเป็นพยานเบิกความสอดคล้องตรงกันกับจำเลยว่า บ้านโจทก์จำเลยต่างปลูกอยู่ตามสภาพดังที่ปรากฏในขณะเกิดกรณีพิพาทมานานหลายสิบปีแล้วทั้งสองหลัง โดยเฉพาะนางผวนยืนยันว่าเห็นจำเลยกับบิดามารดาปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาทโดยสงบไม่มีใครโต้แย้งมานานถึง 60 ปีแล้วกับมีนายผล ยิ้มนิล กำนันท้องที่ซึ่งย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหมู่ที่ 5 ที่ตั้งที่พิพาทเมื่อปี 2519 เป็นพยานยืนยันว่าได้เห็นโจทก์ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 7626 มาตั้งแต่พยานย้ายมาอยู่ในบ้านหมู่ที่ 5 เห็นว่า พยานจำเลยทุกคนไม่มีผู้ใดมีส่วนได้เสียในผลแห่งคดี นางผวนเป็นคนเก่าแก่อายุ 80 ปี อยู่ในที่ดินของตนมาตั้งแต่เกิด นายผลก็เป็นเจ้าพนักงานไม่มีเหตุให้ระแวงว่าจะเบิกความลำเอียงเข้าข้างจำเลย ฝ่ายโจทก์ที่อ้างว่าจำเลยมาขออาศัยปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาท คงมีแต่นายเสงี่ยม อินทรรักษา กับนางสุพจน์อ่วมภักดี ซึ่งเป็นดองกับโจทก์ โดยบุตรคนหนึ่งของโจทก์เป็นลูกสะใภ้นายเสงี่ยมอีกคนเป็นลูกเขยนางสุพจน์ เป็นพยานเบิกความลอย ๆ ว่าจำเลยอาศัยโจทก์ปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาท โดยอ้างว่าทราบเรื่องราวมาจากตัวโจทก์จำเลยและนางเทียมมารดาจำเลย ที่โจทก์นำสืบว่าเดิมโจทก์ปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาท จำเลยกับนางเทียมปลูกบ้านอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 7626 ต่อมาตลิ่งพังถึงใต้ถุนบ้านโจทก์และบ้านจำเลยกับนางเทียม โจทก์จึงรื้อบ้านย้ายไปปลูกในที่ดินโฉนดเลขที่ 7626 ส่วนจำเลยกับนางเทียมรื้อบ้านย้ายเข้ามาปลูกในที่พิพาทโจทก์กับนายเสงี่ยมก็เบิกความถึงกำหนดเวลาในเรื่องนี้ขัดแย้งไม่ลงรอยกันเป็นพิรุธไม่น่าเชื่อโดยโจทก์เบิกความว่าจำเลยกับนางเทียมรื้อบ้านย้ายเข้ามาปลูกในที่พิพาทในปี 2516โจทก์เพิ่งจะรื้อบ้านย้ายไปปลูกในที่ดินโฉนดเลขที่ 7626 เมื่อ7-8 ปีมานี้ ส่วนนายเสงี่ยมเบิกความว่าโจทก์รื้อบ้านออกไปแล้วจำเลยกับนางเทียมจึงเข้ามาปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาทที่โจทก์นำสืบว่านายเขียวอำแดงจันเจ้าของเดิมขายที่พิพาทให้นางเผือดมารดาโจทก์แล้วโจทก์ซื้อต่อจากนางเผือดอีกทอดหนึ่งก็ขัดแย้งกับข้ออ้างที่เคยอ้างเมื่อครั้งโจทก์ยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่พิพาทในปี 2517 โดยครั้งนั้นโจทก์อ้างว่าได้ซื้อที่พิพาทมาจากนายเขียวอำแดงจันเจ้าของเดิมโดยตรงตามภาพถ่ายหมาย ล.3 ปรากฏว่าบ้านจำเลยปลูกถาวรมั่นคงทั้งมีขนาดค่อนข้างใหญ่จึงไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะรื้อบ้านที่มีสภาพเช่นนี้ออกจากที่ดินที่ตนมีกรรมสิทธิ์ไปอาศัยปลูกอยู่ในที่ดินของผู้อื่น นอกจากนี้ยังไม่มีพฤติการณ์ใด ๆบ่งชัดให้เห็นว่าจำเลยได้ยอมรับนับถืออำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทของโจทก์หรือบุคคลอื่นใด พยานหลักฐานของจำเลยจึงมีน้ำหนักดีกว่ารับฟังได้ว่าจำเลยได้ครอบครองปลูกบ้านและทำประโยชน์ในที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเรื่อยมานับแต่ครั้งบิดามารดาจำเลยยังมีชีวิตเป็นเวลานานหลายสิบปีที่พิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองตามกฎหมายแม้โจทก์จะจดทะเบียนการได้มาซึ่งที่พิพาทโดยการครอบครองตามคำสั่งศาล โจทก์ก็หามีสิทธิดีกว่าอันจะเป็นเหตุให้มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยไม่ เพราะโจทก์มิใช่ผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง…”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.

Share