คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1111/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เติมศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้หนี้แก่โจทก์จำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์ จะใช้หนี้ โจทก์จึงร้องขอให้แบ่งแยกสินบริคณห์ของจำเลยที่ 1 ออกเป็นสินส่วนตัว ของจำเลยที่ 1 คือ ที่ดิน 2 แปลง จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสามีของจำเลยที่ 1 ได้ร้องคัดค้านเข้ามาว่า จำเลยทั้งสองได้หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันแล้ว และว่า ที่ดิน 2 แปลงที่โจทก์ขอให้แบ่งแยกออกเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 นั้น เป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 2 ได้รับแบ่งในการหย่าขาดกับจำเลยที่ 1 โจทก์ไม่มีสิทธิขอแบ่งแยกเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสองได้หย่าขาดกันจริงโดยสุจริต และได้ตกลงแบ่งปันทรัพย์สินกันเด็ดขาดแล้ว ที่ดิน2 แปลงที่โจทก์ขอให้แบ่งแยกสินบริคณห์เป็นส่วนของจำเลยที่ 1 นั้น เป็นทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 ได้รับแบ่งมากจากการหย่า เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียว โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ภายหลังการหย่าและตกลงแบ่งทรัพย์กันแล้ว จึงไม่มีสิทธิขอแยกสินบริคณห์ ให้ยกคำร้องคดีถึงที่สุดในศาลชั้นต้น โจทก์มาฟ้องคดีหลังขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลในที่ดิน สองแปลงที่จำเลยที่ 2 ได้รับแบ่งไปจากจำเลยที่ 1 อีกได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะประเด็นแห่งคดีต่างกัน
โดยในคดีแรก นี้มีประเด็นว่า จำเลยทั้งสองได้หย่าขาดจากสามีภริยาและแบ่งทรัพย์สินกันไปแล้ว จริงหรือไม่ ส่วนในคดีหลังมีประเด็นว่า จำเลยได้กระทำการฉ้อฉลโจทก์หรือไม่

ย่อยาว

เรื่องเดิมมีอยู่ว่า ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้หนี้ ให้แก่โจทก์ จำเลย ที่ ๑ ไม่มีทรัพย์จะใช่หนี้ โจทก์จึงร้องขอให้แบ่งแยกสินบริคณห์ ของจำเลยที่ ๑ ออกเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ ๑ คือ ที่ดินสองแปลงที่ทุ่งมหาเมฆจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นสามีของจำเลย ๑ ได้ร้องคัดค้านเข้ามาว่า จำเลยทั้งสองไม่หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันแล้ว ที่ดิน ๒ แปลงที่โจทก์ขอให้แบ่งแยกออกเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ ๑ นั้น เป็นทรัพย์ที่จำเลย ที่ ๒ ได้รับแบ่งในการหย่าขาดกับจำเลยที่ ๑ โจทก์ไม่มีสิทธิขอแบ่งแยกเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ ๑ ศาลแพ่งพิจารณาแล้ว มีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองได้หย่าขาดกันจริงโดยสุจริต และได้ตกลงแบ่งปันทรัพย์สินกันเด็ดขาดแล้ว ที่ดิน ๒ แปลงที่โจทก์ขอให้แบ่งแยกสินบริคณห์ เป็นส่วนของจำเลยนั้น เป็นทรัพย์สินที่จำเลยที่ ๒ ได้รับแบ่งมาจากการหย่า เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๒ แต่ผู้เดียว โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ภายหลัง การหย่าและ ตกลงแบ่งทรัพย์กัน จึงไม่มีสิทธิของแยกสินบริคณห์ ให้ยกคำร้อง คดีถึงที่สุดในศาลชั้นต้น โจทก์จึงมาฟ้องคดีที่ขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลในที่ดินสองแปลงที่จำเลยที่ ๒ ได้รับไปศาลแพ่ง พิจารณาแล้วพิพากษาว่า สัญญาแบ่งทรัพย์ระหว่างจำเลยทั้ง
สองทำให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ เสียเปรียบ และจำเลยที่ ๒ ก็ได้รู้อยู่แล้ว จึงให้เพิกถอนการแบ่งทรัพย์ระหว่างจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน เพราะในคดีก่อนโจทก์ร้องขอแบ่งสินบริคณห์ จำเลยอ้างว่าจำเลย ได้หย่าขาดจากกัน และแบ่งทรัพย์ กันแล้ว โจทก์แถลงแก้ว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้หย่าขาดกันจริง หากแต่จดทะเบียนหย่าเป็นนิติกรรมอำพราง ป้องกันไม่ให้เจ้าหนี้ ของจำเลยยึดสินบริคณห์ ศาลแพ่งชี้ขาดว่า หย่ากันจริง และแบ่งทรัพย์กันเด็ดขาดแล้ว คดียุติเพียงศาลแพ่ง ปัญหาว่า สัญญาแบ่งทรัพย์ได้กระทำโดยเจตนาลวงหรือไม่เป็นอันยุติ โจทก์มาฟ้องว่าสัญญาแบ่งทรัพย์ระหว่างจำเลยทำให้โจทก์เปรียบเป็นการฉ้อฉล เพื่อผลอย่างเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำ จึงไม่ต้องวินิจฉัย ว่าสัญญา แบ่งทรัพย์เป็นฉ้อฉลหรือไม่ กลับคำพิพากษาศาลขั้นต้น ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ประเด็นในชั้นศาลฎีกา มีว่า ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีที่โจทก์ร้องขอให้แบ่งแยกสินบริคณห์เป็นส่วนของจำเลยที่ ๑ ซึ่งได้ถูกยกคำร้องไปแล้วหรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จะพิจารณาว่า เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ จะต้องพิจารณาถึงประเด็นในคดีทั้งสองนั้นว่า มีอยู่อย่างไร ในคดีที่โจทก์ร้องขอให้แบ่งแยกสินบริคณห์นั้น จำเลยที่ ๒ ได้คัดค้านว่า จำเลยทั้งสอง ได้หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยาและได้แบ่งทรัพย์สินกันเสร็จไปแล้ว ประเด็นในคดีนี้จึงมีว่า จำเลยทั้งสองได้หย่าขาดจากสามีภริยา และแบ่งทรัพย์กันไปแล้วจริงหรือไม่ ซึ่งศาลแพ่งก็ได้มีคำสั่งว่า ได้หย่าขาดสามีภริยา กันโดยสุจริตจริง และได้แบ่งทรัพย์สินกันเด็ดขาดไปแล้ว ส่วนประเด็นในคดีที่โจทก์ร้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลนี้ คือ โจทก์กล่าวฟ้องว่า การที่จำเลยที่ ๒ ได้รับแบ่งที่ดิน ๒ แปลงไปคนเดียวเป็นการทำให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ เสียเปรียบโดยจำเลยทั้งสองมีเจตนาฉ้อฉลโจทก์ ประเด็นจึงมีอยู่ว่า จำเลยได้กระทำการฉ้อฉลโจทก์หรือไม่ จึงเห็นว่า ประเด็นในคดีเรื่องขอแบ่งแยกสินบริคณห์ กับคดีในเรื่องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลต่างกัน จึงถือไม่ได้ว่า คดีเรื่องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลเป็นฟ้องซ้ำกับคดีขอให้แบ่งแยกสินบริคณห์
ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่

Share