คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 111/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องว่าโจทก์จำเลยและคนอื่นๆ เล่นแชร์เปียหวยกัน โดยมี ส. เป็นนายวง จำเลยประมูลแชร์ไปแล้วและโจทก์ลงแชร์ในเดือนที่จำเลยประมูลไป 2,000 บาท จำเลยได้ทำหนังสือให้โจทก์ยึดถือไว้มีใจความว่า ได้กู้ยืมเงินโจทก์ไป 2,000 บาท ต่อมาแชร์วงนี้เลิกล้มกลางคัน โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระเงินตามสัญญานั้น จำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับให้จำเลยใช้เงิน 2,000 บาทแก่โจทก์ ดังนี้ การที่ศาลวินิจฉัยว่า ส. เป็นตัวแทนของจำเลยไปเก็บเงินจากโจทก์มามอบให้จำเลยตามวิธีการของการเล่นแชร์ เท่ากับจำเลยได้รับเงินไปจากโจทก์แล้วนั้นถือไม่ได้ว่าวินิจฉัยผิดประเด็น
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้อง และตามหนังสือกู้ยืมนั้นแสดงว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์โดยตรง ส่วนนายวงแชร์เป็นเพียงผู้ค้ำประกันเท่านั้นแล้ว เมื่อจำเลยยังไม่ได้ชำระเงินให้โจทก์เพราะแชร์ล้มเสียกลางคัน จำเลยก็ต้องใช้เงินให้โจทก์
หนังสือสัญญากู้ซึ่งยังมิได้ปิดแสตมป์ให้ถูกต้องตามประมวลรัษฎากร มีผลเพียงจะนำมาแสดงเป็นพยานหลักฐานให้ศาลรับฟังยังไม่ได้เท่านั้นมิได้หมายความว่าจะใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมไม่ได้ด้วย
หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือดังที่กล่าวไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรค 1 นั้นไม่ได้หมายความถึงว่าในขณะยื่นฟ้องจะต้องเป็นหนังสือที่ใช้เป็นพยานหลักฐานได้ด้วย
โจทก์แนบสำเนาหนังสือสัญญากู้มาท้ายฟ้อง แล้วยื่นต้นฉบับในชั้นพิจารณา เมื่อจำเลยรับว่าต้นฉบับเอกสารนี้เป็นเอกสารของตนจริงแล้วก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยต้นฉบับเอกสารนี้เป็นพยานหลักฐานในคดีอีกฉะนั้น หากว่าเอกสารนี้จะไม่ได้เสียอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร ก็ไม่ทำให้จำเลยพ้นความรับผิดในการต้องใช้เงินตามเอกสาร

ย่อยาว

ฟ้อง 3 สำนวนนี้มีใจความว่า โจทก์จำเลยและคนอื่นรวม 16 คนเล่นแชร์เปียหวยกัน โดยนายสั่ง แซ่หยิ่วเป็นนายวง จำเลยแต่ละคนได้ประมูลแชร์ไปแล้ว โจทก์ลงแชร์ในเดือนที่จำเลยประมูลไป 2,000 บาทจำเลยได้ทำหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยให้โจทก์ยึดถือไว้มีใจความว่าได้กู้ยืมเงินโจทก์ไป 2,000 บาท (นายสั่งลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกัน) ต่อมาแชร์วงนี้เลิกล้มกลางคัน โจทก์ทวงถาม จำเลยไม่ชำระเงินให้โจทก์ตามสัญญา ขอให้บังคับให้จำเลยแต่ละคนใช้เงิน 2,000 บาทแก่โจทก์

จำเลยให้การต่อสู้คดี

ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยมีความผูกพันจะต้องลงแชร์ให้ผู้ที่ยังไม่ได้ประมูลไปทุก ๆ เดือน ๆ ละ 2,000 บาท จนครบผู้เล่น แม้นายสั่งจะหลบหนี ไม่มีการประมูลแชร์กันอีกก็ตาม โจทก์ก็มีสิทธิจะได้รับเงินแชร์ที่จำเลยได้รับไปแล้ว จึงมีสิทธิฟ้องเรียกจากจำเลยได้ พิพากษาให้จำเลยแต่ละคดีใช้เงินให้โจทก์คดีละ 2,000 บาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาในข้อกฎหมาย

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า

1. ตามฟ้องเป็นการบรรยายแสดงให้เห็นว่ามูลหนี้รายนี้เนื่องมาจากการเล่นแชร์เปียหวย ฉะนั้น การที่ศาลวินิจฉัยว่า นายสั่งนายวงแชร์เป็นตัวแทนของจำเลยไปเก็บเงินจากโจทก์มามอบให้จำเลยตามวิธีการของการเล่นแชร์เท่ากับจำเลยได้รับเงินไปจากโจทก์แล้วนั้นถือไม่ได้ว่าผิดประเด็นและคำพยานหลักฐาน

2. เมื่อจำเลยแต่ละคนประมูลแชร์ได้แล้ว ต่างได้ทำเอกสารตามฟ้องให้นายสั่งนายวงแชร์ไปเก็บเงินจากลูกวง เงินที่นายสั่งเก็บมาจากโจทก์นั้น จำเลยก็ได้รับไปแล้ว เอกสารที่จำเลยทำและมอบให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นหลักฐานที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์โดยตรง นายสั่งเพียงแต่ลงลายมือชื่อในฐานะผู้ค้ำประกันเท่านั้น เมื่อจำเลยยังไม่ได้ชำระเงินให้โจทก์เพราะแชร์ล้มเลิกเสียกลางคัน จำเลยก็มีหน้าที่จะต้องใช้ให้โจทก์

3. บทบัญญัติมาตรา 118 แห่งประมวลรัษฎากรมีความหมายเพียงว่าเมื่อเอกสารใดยังมิได้ปิดแสตมป์ให้ถูกต้องตามประมวลรัษฎากร ก็จะนำมาแสดงเป็นพยานหลักฐานให้ศาลรับฟังยังไม่ได้เท่านั้น มิได้หมายความว่าจะใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมไม่ได้ด้วย และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรค 1 ก็ไม่ได้บัญญัติไปถึงว่าหลักฐานที่เป็นหนังสือนั้น ขณะยื่นฟ้องจะต้องเป็นหนังสือที่ใช้เป็นพยานหลักฐานได้ด้วย ทั้งนี้ก็เพราะขณะยื่นฟ้องยังไม่จำเป็นต้องใช้เป็นพยานหลักฐาน แม้จะยังไม่ได้เสียอากรแสตมป์ให้สมบูรณ์ตามประมวลรัษฎากร ก็ใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมขณะยื่นฟ้องได้แล้วและคดีนี้จำเลยต่างรับว่าเอกสารหมาย จ.2, 3, 4 ซึ่งเป็นต้นฉบับของสำเนาเอกสารท้ายฟ้องตามลำดับคดี เป็นเอกสารที่จำเลยทำให้นายสั่งนำไปเก็บเงินจากโจทก์ และมอบให้โจทก์ไว้เป็นหลักฐานเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องอาศัยเอกสารหมาย จ.2, 3 และ 4 เป็นพยานหลักฐานในคดีหากเอกสารเหล่านี้จะไม่ได้เสียอากรแสตมป์ให้สมบูรณ์ ก็ไม่ทำให้จำเลยพ้นความรับผิดในการต้องใช้เงินตามเอกสาร

พิพากษายืน

Share