คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 92/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินของลูกหนี้แปลงหนึ่ง เป็นที่ดินมีโฉนด ลูกหนี้ได้แยกที่งอกริมตลิ่งของที่ดินแปลงนี้ไปแจ้งการครอบครองตามแบบ ส.ค.1 ไว้ ในการขายทอดตลาดเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจแยกรายที่ดินตามโฉนดกับที่งอกริมตลิ่งของที่ดินตามโฉนดนั้นเป็นคนละแปลงได้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 123
ผู้ร้องทราบว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้แยกขายที่ดินดังกล่าวออกเป็น 2 แปลงและได้ซื้อเฉพาะที่มีโฉนดไว้เพียงแปลงเดียว ผู้ร้องจะอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์ที่งอกริมตลิ่งซึ่งแยกขายเป็นอีกแปลงหนึ่งนั้นไม่ได้

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ได้รับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๙๑๕ จากจำเลย ต่อมาได้ซื้อที่แปลงนี้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน๒๕๐๕ และได้รับโอนกรรมสิทธิ์เรียบร้อยแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ประกาศลงวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๐๖ จะขายทอดตลาดที่ดินตามใบ ส.ค.๑ เลขที่ ๑๓๓/๒๕๐๐ ที่แปลงนี้เป็นที่งอกริมตลิ่งของที่ดินซึ่งโจทก์ซื้อจากการขายทอดตลาด ผู้ร้องจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่งอกริมตลิ่งแปลงนี้ด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๘ ผู้ร้องได้ขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์งดการขายทอดตลาดที่พิพาทแปลงนี้ แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้สั่งยกคำร้อง ผู้ร้องจึงขอให้ศาลสั่งงดการขายทอดตลาด
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้แถลงคัดค้านว่า ที่ ส.ค.๑ เลขที่ ๑๓๗/๒๕๐๐ นั้นได้แบ่งแยกจากที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๙๑๕ และเจ้าพนักงาพิทักษ์ทรัพย์ได้ประกาศขายทอดตลาดเป็นคนละแปลงโดยแจ้งขัด ผู้ร้องได้ตกลงซื้อเฉพาะที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๓๙๑๕ เพียงแปลงเดียว จึงได้กรรมสิทธิ์เฉพาะแปลงที่ซื้อไว้เท่านั้น ไม่รวมถึงที่ ส.ค.๑แปลงพิพาทด้วย ขอให้ศาลสั่งยกคำร้อง
วันนัดพร้อม ผู้ร้องรับว่าได้ไปร่วมในการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกและได้ทราบข้อความในประกาศขาทอดตลาดก่อนขายทอดตลาด
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกาว่า ที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๓๙๑๕ ติดจำนองผู้ร้องทั้งแปลงรวมทั้งที่งอกริมตลิ่งด้วย การขายที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๓๙๑๕ ย่อมหมายรวมถึงที่งอกริมตลิ่งด้วย การที่จำเลยแจ้งการครอบครองที่งอกไว้ต่างหากจะถือว่าได้แยกที่ดินออกเป็นส่วนเป็นสัดให้พ้นการจำนองไม่ได้ แม้เจ้าพนักงานจะแยกขายที่ดินได้ ก็ต้องขายที่งอกริมตลิ่งอย่างมีภาระจำนองติดไปด้วย
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อเจ้าพนักงานไปยึดทรัพย์ของจำเลย ได้แยกการยึดที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๓๙๑๕ กับที่ตามใบส.ค.๑ เลขที่ ๑๓๗/๒๕๐๐ ไว้คนละอันดับ ในประกาศขายทอดตลาดก็แยกกันไว้คนละอันดับ ขณะประชุมเจ้าหนี้ของผู้ล้มละลาย ผู้ร้องก็ไปร่วมด้วย แล้วได้ทราบประกาศขายทอดตลาดที่แยกที่ดิน ๒ รายการนี้ออกเป็น ๒ แปลงก่อนการขายทอดตลาดได้กำหนดขายในวันเวลาเดียวกัน ผู้ร้องประมูลซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๙๑๕ ได้ แต่ที่ดินตามใบส.ค.๑ เลขที่ ๑๓๗/๒๕๐๐ มีผู้ให้ราคาต่ำ จึงได้งดการขายไว้ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๙๑๕ จะติดการจำนองผู้ร้องรวมถึงที่งอกริมตลิ่งตามใบส.ค.๑ เลขที่ ๑๓๗/๒๕๐๐ ตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้างก็ตาม เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจแยกขายเป็นคนละแปลงได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๒ มาตรา ๑๒๓ ตามประกาศขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๙๑๕ ก็บอกจำนวนเนื้อที่ชัดเจนว่ามี ๕๐ ตารางวา และที่งอกตามใบส.ค.๑ เลขที่ ๑๓๗/๒๕๐๐ มีเนื้อที่ ๓ งาน ๓ ตารางวา แยกกันเป็นคนละแปลง ผู้ร้องก็รู้ดีอยู่แล้ว ไม่มีทางที่ผู้ร้องจะเข้าใจว่าการขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๙๑๕ นั้นรวมถึงที่งอกตามใบส.ค.๑ เลขที่ ๑๓๗/๒๕๐๐ ด้วย เมื่อความปรากฎว่าผู้ร้องซื้อเฉพาะทีดินโฉนดเลขที่ ๓๙๑๕ ก็ได้กรรมสิทธิ์เฉพาะที่ดินตามโฉนดเท่านั้น จะถือเอาประโยชน์จากบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๘ ผนวกที่งอกตามใบ ส.ค.๑ เลขที่ ๑๓๗/๒๕๐๐ ที่เจ้าพนักงานประกาศขายเป็นอีกแปลงหนึ่งต่างหากเป็นของตนด้วยไม่ได้ ตามที่ผู้ร้องอ้างว่า การที่จำเลยแจ้งการครอบครองทีงอกริมตลิ่งไว้ต่างหาก จะถือว่าได้แยกที่ออกเป็นส่วนเป็นสัดให้พ้นภาระจำนองไม่ได้ แม้เจ้าพนักงานจะแยกขายที่ดินได้ ก็ต้องขายทีงอกริมตลิ่งอย่างมีการจำนองติดไปด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นการที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แยกทีงอกริมตลิ่งไปขายต่างหากเช่นนี้ จะทำให้ที่แปลงนี้มีภาระจำนองติดอยู่หรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อคู่ความมิได้ว่ากล่าวกันมาแต่ต้น จึงรับวินิจฉัยให้ไม่ได้
พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share