คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 758/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์กล่าวถึงมูลหนี้เดิมซึ่งมีหนี้เงินยืม หนี้ค่าซื้อของเชื่อ และหนี้สินอย่างอื่น และเมื่อคิดบัญชีกันแล้ว จำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่จึงได้ตกลงแปลงหนี้กันใหม่ เป็นสัญญากู้ยืมจำนวน 56,000 บาท ฟ้องของโจทก์ ดังนี้ ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาแล้ว โจทก์หาจำเป็นต้องแยกรายละเอียดหนี้เดิมว่าเป็นหนี้อะไรเท่าไร และเกิดขึ้นเมื่อใดไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมจำเลยเป็นหนี้โจทก์ ๕๖,๐๐๐ บาท โดยจำเลยยืมเงินไปบ้าง เชื่อสินค้าไปบ้าง กับหนี้สินติดค้างอย่างอื่นอีกหลายรายการ ต่อมาโจทก์จำเลยได้คิดบัญชีกันแล้วตกลงแปลงหนี้ใหม่ โดยจำเลยทำหนังสือให้โจทก์ ถือว่าได้รับเงินกู้จากโจทก์ไปแล้ว หนี้เดิมเป็นอันระงับ ให้บังคับตามสัญญากู้ใหม่นี้ แต่จำเลยก็ไม่ชำระเมื่อถึงกำหนด ขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ชำระต้นเงินพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยสู้ว่า โจทก์ให้จำเลยเซ็นชื่อไว้เป็นประกันในกระดาษ จำเลยไม่เคยอนุญาตให้โจทก์กรอกข้อความใด ๆ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง แล้วแปลงหนี้มาเป็นสัญญากู้ยืมเงิน ให้จำเลยใช้เงินพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องของโจทก์ได้กล่าวถึงมูลหนี้เดิมซึ่งมีหนี้เงินยืม หนี้ค่าซื้อของเชื่อและหนี้สินอย่างอื่น และเมื่อคิดบัญชีกันแล้วจำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ จึงได้ตกลงแปลงหนี้กันใหม่เป็นสัญญากู้ยืมจำนวน ๕๖,๐๐๐ บาท ฟ้องของโจทก์ดังนี้ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาแล้ว โจทก์หาจำเป็นต้องแยกรายละเอียดหนี้เดิมว่าเป็นหนี้อะไร เท่าไร และเกิดขึ้นเมื่อใดไม่ ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุมแต่อย่างใด และเชื่อว่าจำเลยได้ทำสัญญาแปลงหนี้ให้โจทก์จริงดังฟ้อง
พิพากษายืน.

Share