คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 428/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ตาย นาย พ. และจำเลยรู้จักชอบพอกัน ผู้ตายอยู่กินฉันสามีภรรยากับจำเลย วันเกิดเหตุผู้ตายพาจำเลยไปบ้านนาย พ.ขณะที่จำเลยกับนาย พ.คุยกันตามลำพังจำเลยถามนายพ.ว่าผู้ตายมานอนค้างคืนกับนาย พ.หรือไม่นายพ. ตอบว่าผู้ตายมานอนค้างคืนกับนาย พ. และจะแต่งงานกัน จำเลยเรียกผู้ตายมาถามผู้ตายบอกว่ามานอนกับนาย พ. ทุกวัน จำเลยจึงพูดขึ้นว่าทำไมจึงหลอกกัน แล้วใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย ฟังได้ว่าจำเลยกระทำไปเพราะโกรธผู้ตายที่ผู้ตายหลอก และไปนอนค้างคืนกับนาย พ.โดยจำเลยไม่ทราบมาก่อนว่าผู้ตายกับนายพ. มีสัมพันธ์สวาทกัน การที่ผู้ตายไปนอนค้างคืนกับนาย พ. และยังบอกจำเลยต่อหน้านาย พ.อย่างปราศจากความยำเกรงจำเลยจึงเป็นการเยาะเย้ยท้าทายจำเลยว่าได้ทำชู้กันอยู่เรื่อย ๆ จำเลยจะทำไม อันเป็นการยั่วยุอารมณ์ของจำเลย ถือได้ว่าเป็นการสบประมาทจำเลยอย่างร้ายแรงโดยมิได้คาดคิดมาก่อน ย่อมเหลือวิสัยที่จำเลยจะอดกลั้นโทสะไว้ได้เป็นการกดขี่ข่มเหงในทางจิตใจอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมจำเลยบันดาลโทสะขาดความยับยั้งชั่งใจ กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 72

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371,33, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิริบของกลางทั้งหมด เว้นกระสุนปืน ขนาด .38 จำนวน 8 นัด ที่เจ้าพนักงานใช้วิเคราะห์หมดไปแล้ว
จำเลยให้การว่า จำเลยและผู้ตายมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาแต่ผู้ตายนอกใจไปได้เสียกับนายพอพล วาทยานนท์ ขณะเกิดเหตุผู้ตายและนายพอพลได้พูดจาเสียดสี เย้ยหยัน เหยียดหยาม และดูหมิ่นจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยได้รับความกดดันทางอารมณ์และจิตใจอย่างรุนแรงจึงได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาพันตำรวจโทสุมิตร ขุนพินิจ และนางเจียรจิตต์ ขุนพินิจ บิดามารดาผู้ตายได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 จำเลยกระทำความผิดแล้วรู้สำนึกและมารดาจำเลยได้ช่วยค่าทำศพผู้ตาย 120,000 บาท วางโทษจำคุก 18 ปี ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ปรับ 1,050 บาทเรียงกระทงลงโทษรวมจำคุก 18 ปี และปรับ 1,050 บาท คำรับสารภาพชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณามีประโยชน์ต่อการพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุกจำเลย 12 ปี และปรับ 700 บาทไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30ของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่ผู้ตาย นายพอพล และจำเลยรู้จักชอบพอกัน ผู้ตายได้เสียกับจำเลย และนายพอพลทั้งสองคน วันเกิดเหตุผู้ตายพาจำเลยไปพบนายพอพลที่บ้านของนายพอพล ขณะที่จำเลยกับนายพอพลพูดคุยกันอยู่ตามลำพัง จำเลยได้ถามนายพอพลว่าผู้ตายมานอนค้างคืนกับนายพอพลหรือไม่ นายพอพลตอบว่าผู้ตายมานอนค้างคืนกับนายพอพล และจะแต่งงานกัน จำเลยเรียกผู้ตายมาถามว่า ผู้ตายมานอนค้างคืนกับนายพอพลจริงหรือไม่ ผู้ตายถามนายพอพลว่าบอกจำเลยหรือนายพอพลยอมรับ ผู้ตายจึงบอกว่ามานอนกับนายพอพลทุกวัน จำเลยก็ลุกขึ้นเดินไปหาผู้ตายพร้อมกับชักอาวุธปืนออกมาจากเอว นายพอพลร้องห้าม จำเลยพูดว่าทำไมจึงหลอกกันแล้วใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย และนายพอพลว่าจำเลยยิงผู้ตายอาจจะเนื่องจากโกรธผู้ตายจึงพอฟังได้ว่าขณะที่จำเลยกระทำผิดนั้นจำเลยกระทำไปเพราะโกรธผู้ตายที่ถูกผู้ตายหลอกและไปนอนค้างคืนกับนายพอพลโดยไม่ทราบมาก่อนว่า ผู้ตายกับนายพอพลมีสัมพันธ์สวาทกัน ทั้งผู้ตายอยู่กินร่วมกันกับจำเลยฉันสามีภรรยาตั้งแต่อยู่ในประเทศออสเตรเลียและเมื่อกลับมายังประเทศไทยก็ยังอยู่กินฉันสามีภรรยาจนกระทั่งเกิดเหตุ การที่ผู้ตายไปนอนค้างคืนกับนายพอพลและผู้ตายยังบอกจำเลยต่อหน้านายพอพลอย่างปราศจากความยำเกรงจำเลยว่าผู้ตายมานอนกับนายพอพลทุกคืน จึงเป็นการเยาะเย้ยท้าทายจำเลยว่าได้ทำชู้กันอยู่เรื่อย ๆ จำเลยจะทำไมอันเป็นการยั่วยุอารมณ์ของจำเลย ถือได้ว่าเป็นการสบประมาทจำเลยอย่างร้ายแรงโดยมิได้คาดคิดมาก่อน ย่อมเหลือวิสัยที่จำเลยจะอดกลั้นโทสะไว้ได้ จึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายในทันที พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ถูกกดขี่ข่มเหงในทางจิตใจของจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยบันดาลโทสะขึ้นในขณะนั้นจนขาดความยับยั้งชั่งใจ กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72ที่ศาลล่างพิพากษานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 72 จำคุกจำเลยมีกำหนด 3 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share