คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1104/2525

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีปล้นทรัพย์ เหตุเกิดเวลากลางวัน แม้โจทก์มีผู้เสียหายปากเดียวเป็นประจักษ์พยานยืนยันว่ามีโอกาสเห็นหน้าจำเลยนาน1 นาที ไปแจ้งพนักงานสอบสวนว่าจำหน้าคนร้ายได้ รุ่งขึ้นเมื่อเห็นจำเลยก็ชี้ให้ตำรวจจับกุมตัว ดังนี้ฟังลงโทษจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2523 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องอีก 2 คน ได้ร่วมกันปล้นเอาเครื่องรับวิทยุ 1 เครื่องราคา 10,000 บาท ปืนพกสั้นขนาด .38 หมายเลขทะเบียน กท. 810733หนึ่งกระบอก ราคา 7,000 บาท ปืนยาวขนาด .22 เลขทะเบียน กท.900246จำนวน 1 กระบอก ราคา 3,500 บาท เครื่องคิดเลข 1 เครื่อง ราคา 400 บาทนาฬิกาข้อมือ 1 เรือน ราคา 800 บาท เงินสดอีก 3,000 บาท รวมราคาทรัพย์24,700 บาท ของนายอนันต์ ตั้งจิตทวีทรัพย์ ผู้เสียหายไปโดยจำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้ยิงผู้เสียหาย และได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายผลักดันและกดผู้เสียหายในนอนลงกับพื้นดิน ทั้งนี้เพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์ พาทรัพย์นั้นไป ปกปิดการกระทำผิดและเพื่อให้พ้นจากการจับกุมเหตุเกิดที่ตำบลทุ่งเบญจา อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340,340 ตรี, 83 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14, 15 ให้จำเลยทั้งสองคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 24,700บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเป็นคนร้ายในคดีนี้จริง พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคสอง, 340 ตรี ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14, 15 จำเลยที่ 1 อายุ 18 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้ 1 ใน 3 ตามมาตรา 76 จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 12 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 18 ปี ให้จำเลยทั้งสองคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 24,700 บาท แก่ผู้เสียหายด้วย

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยทั้งสองมีโอกาสจะหลบหนีในชั้นจับกุม แต่ไม่หลบหนี และมีเหตุผลสงสัยว่าผู้เสียหายจำคนร้ายไม่ได้มั่นคง ควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยทั้งสอง พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ให้ขังจำเลยทั้งสองไว้ระหว่างฎีกาเว้นแต่จะมีประกันตัวไป

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2523 เวลาประมาณ 9.00 นาฬิกา ขณะที่นายอนันต์ ตั้งจิตทวีทรัพย์ ผู้เสียหาย อยู่ที่บ้านพักซึ่งอยู่ที่หมู่ที่ 6 ตำบลทุ่งเบญจาอำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ผู้เสียหายได้ยินเสียงเรียกซื้อสินค้าทางประตูหลังบ้านพักซึ่งใช้เป็นทางเข้าออก ผู้เสียหายจึงเปิดประตูหลังบ้านก็เห็นจำเลยทั้งสองถืออาวุธปืนสั้นคนละ 1 กระบอก จำเลยทั้งสองใช้อาวุธปืนดังกล่าวจี้ที่หน้าของผู้เสียหายบังคับให้ถอยหลังเข้าไปในบ้านและบังคับให้ผู้เสียหายนอนคว่ำลงบนกระดานพื้นห่างประตูหลังบ้านประมาณ 2 เมตร แล้วจำเลยทั้งสองตะโกนเรียกพวกให้เข้ามาในบ้าน ก็มีคนร้ายอีก 1 คนเข้ามาในบ้านและคนร้ายคนนี้ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 จี้ผู้เสียหายแทนจำเลยทั้งสอง ส่วนจำเลยทั้งสองขึ้นไปชั้นบนบ้านผู้เสียหาย ผู้เสียหายได้ยินเสียงคนร้ายค้นหาทรัพย์อยู่ประมาณ 15 นาที ก็กลับลงมา จำเลยคนหนึ่งสั่งให้คนร้ายที่จี้ผู้เสียหายอยู่จี้ผู้เสียหายไว้ก่อนราว 2 นาที เมื่อจำเลยทั้งสองหลบหนีไปแล้ว คนร้ายที่จี้ผู้เสียหายอยู่จึงวิ่งหลบหนีไป โดยใช้กุญแจใส่ประตูหลังบ้านขังผู้เสียหายไว้ ผู้เสียหายได้สำรวจทรัพย์สิน ปรากฏว่าคนร้ายเอาเครื่องรับวิทยุ 1 เครื่อง ราคา 10,000 บาท ปืนพกสั้นขนาด .38 หนึ่งกระบอก ราคา 7,000 บาท ปืนลูกกรดยาว 1 กระบอก ราคา 3,500 บาท เงินสด 2,000 – 3,000 บาทเครื่องคิดเลข 1 เครื่อง ราคา 400 บาท นาฬิกาข้อมือยี่ห้อไซโก้ราคา 800 บาท ต่อมาผู้เสียหายได้ยินเสียงคนเดินผ่านใกล้บ้าน จึงร้องเรียกให้ช่วยเปิดประตูหลังบ้านให้ มีเด็กชายชัย ทองราย มาเปิดประตูให้ผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงออกจากบ้านเล่าเรื่องให้นางบุญหรือสมบุญ ภู่ระหงส์ ฟังว่าถูกปล้น ในตอนเย็นวันเกิดเหตุผู้เสียหายได้ไปแจ้งความกับร้อยตำรวจเอกวันชัย โตปาน พนักงานสอบสวน ร้อยตำรวจเอกวันชัย โตปาน สั่งให้ผู้เสียหายไปพบในวันรุ่งขึ้นตอนเช้ามืด ผู้เสียหายก็ไปตามนัด พนักงานสอบสวนกับตำรวจอื่นพาผู้เสียหายนั่งรถยนต์ไปที่บ้านหลังหนึ่ง ห่างบ้านผู้เสียหายประมาณ 2 กิโลเมตร พวกตำรวจล้อมบ้านหลังนี้และเข้าไปในบ้าน โดยให้ผู้เสียหายรออยู่ที่รถยนต์ สักครู่หนึ่งตำรวจก็กลับออกมาจากบ้านหลังนี้ และพวกตำรวจเดินทางไปที่บ้านอีกหลังหนึ่งห่างไปประมาณ 5 เส้น และคงให้ผู้เสียหายรออยู่ที่เดิม ขณะที่ผู้เสียหายรออยู่ที่รถยนต์ตอนนี้เองผู้เสียหายก็เห็นจำเลยทั้งสองเดินออกมาจากบ้านหลังแรก ผู้เสียหายจำได้ว่าเป็นคนร้ายจึงนำเสื้อตำรวจซึ่งอยู่ในรถยนต์มาสวมเพื่อพรางมิให้จำเลยทั้งสองจำได้ขณะจำเลยทั้งสองเดินอยู่ที่บริเวณบ้านหลังนั้น พวกตำรวจจึงกลับมาถึงผู้เสียหายจึงชี้ตัวจำเลยทั้งสองให้ตำรวจจับกุมตัวเอาไว้ได้ ตามที่ปรากฏในบันทึกการจับกุมหมาย จ.1 ผู้เสียหายไม่รู้จักจำเลยทั้งสองมาก่อน ชั้นจับกุมสอบสวน จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

จำเลยทั้งสองนำสืบว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยทั้งสองทำการตัดฟืนอยู่ที่ไร่ของบิดาจำเลยที่ 1 ห่างบ้านพักประมาณ 2 เส้น ระหว่างที่ตัดฟืนจำเลยทั้งสองไม่ได้ไปไหน จำเลยทั้งสองกลับถึงบ้านพักประมาณเที่ยงวันจำเลยทั้งสองมิได้กระทำผิดตามฟ้อง

พิเคราะห์แล้ว คดีนี้เหตุเกิดเวลากลางวัน แม้โจทก์จะมีผู้เสียหายปากเดียวเป็นประจักษ์พยาน แต่ผู้เสียหายก็เบิกความยืนยันว่าได้มีโอกาสเห็นหน้าจำเลยทั้งสองในขณะที่เปิดประตูหลังบ้านออกไปจำเลยทั้งสองยืนอยู่ห่างประตูเพียง 1 เมตรเศษ แล้วจำเลยทั้งสองใช้อาวุธปืนจี้บังคับให้ผู้เสียหายเดินถอยหลังเข้าไปในบ้าน ซึ่งผู้เสียหายยืนยันว่าได้มีโอกาสเห็นหน้าจำเลยทั้งสองนานประมาณ 1 นาที ประกอบกับเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับผู้เสียหายเช่นนี้ เป็นเหตุการณ์พิเศษผิดปกติธรรมดาที่ผู้เสียหายอาจให้ความสนใจจดจำเหตุที่เกิดขึ้น กรณีจึงน่าเชื่อว่าผู้เสียหายจำจำเลยทั้งสองได้ว่าเป็นคนร้ายนอกจากนี้โจทก์ยังนำร้อยตำรวจเอกวันชัย โตปาน พนักงานสอบสวนมาเบิกความประกอบว่าในขณะไปแจ้งความผู้เสียหายอ้างว่าจำหน้าคนร้ายได้และเพียงในวันรุ่งขึ้นของวันเกิดเหตุ เมื่อผู้เสียหายเห็นจำเลยทั้งสองที่บริเวณบ้านพักของจำเลย ผู้เสียหายก็จำได้ทันทีว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายและชี้ตัวให้ตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสอง ดังที่ปรากฏตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งความข้อนี้จำเลยทั้งสองก็เบิกความรับว่าผู้เสียหายเป็นผู้ชี้ให้ตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสอง พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวประกอบกันรับฟังได้มั่นคง โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายที่ร่วมกับพวกทำการปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายไปจริงตามฟ้อง ที่จำเลยทั้งสองนำสืบอ้างฐานที่อยู่ว่าในขณะเกิดเหตุจำเลยทั้งสองไปทำการตัดฟืนอยู่ที่ไร่ของบิดาจำเลยที่ 1 แตกต่างกับฐานที่อยู่ที่จำเลยทั้งสองอ้างในขณะถูกจับกุมว่าตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยทั้งสองนอนอยู่ที่บ้านของตน ไม่มีน้ำหนักให้น่าเชื่อถือไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีมาโดยยกเหตุที่จำเลยทั้งสองมิได้หลบหนีไปในครั้งแรกที่ตำรวจเข้าทำการตรวจค้นไม่พบของกลางที่บ้านพักของจำเลย ทั้ง ๆ ที่จำเลยมีโอกาสจะหลบหนี ทำให้เชื่อว่าจำเลยทั้งสองไม่ใช่คนร้ายก็ดี และการที่ผู้เสียหายกับพนักงานสอบสวนเบิกความขัดกันในเรื่องที่ชั้นสอบสวน ผู้เสียหายแจ้งว่ารู้จักคนร้าย แต่ในชั้นศาลผู้เสียหายว่าไม่รู้จักคนร้ายเพียงแต่จำหน้าคนร้ายได้เท่านั้น ซึ่งมีเหตุสงสัยว่าจำคนร้ายได้ไม่มั่นคงก็ดี เห็นว่าการที่จำเลยทั้งสองไม่หลบหนีไปดังกล่าว อาจสืบเนื่องมาจากตำรวจค้นไม่พบของกลางทำให้จำเลยทั้งสองคิดว่าตำรวจไม่อาจทำการจับกุมจำเลยก็ได้ และการที่ผู้เสียหายแจ้งกับพนักงานสอบสวนว่ารู้จักคนร้ายก็ไม่แน่ชัดว่ารู้จักชื่อหรือรู้จักตัวมาก่อนเกิดเหตุ อาจมีความหมายเพียงว่าภายหลังเกิดเหตุแล้วก็รู้จักหน้าหรือจำคนร้ายได้ก็ได้ จึงไม่อาจนำมาเป็นเหตุให้รับฟังว่าจำเลยทั้งสองมิใช่คนร้ายหรือมีเหตุอันควรสงสัยที่ควรยกประโยชน์ให้กับจำเลยทั้งสอง ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีมาไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share