คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11039/2553

แหล่งที่มา :

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นสมาชิกประเภทร้านค้าของโจทก์ โดยจำเลยยินยอมรับชำระค่าสินค้าและค่าบริการจากสมาชิกผู้ถือบัตรที่โจทก์ออกให้ แต่จำเลยรับชำระค่าสินค้าโดยผิดเงื่อนไขเป็นเหตุให้โจทก์ไม่ได้รับชำระเงินคืนจากสมาชิกผู้ถือบัตร เป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาในขั้นตอนก่อนการชำระเงิน แต่โจทก์กลับนำสืบว่าจำเลยเพิกเฉยไม่ชี้แจงข้อร้องทุกข์และข้อสอบถามของสมาชิก ซึ่งเป็นขั้นตอนหลังจากจำเลยได้รับชำระค่าสินค้าแล้ว แม้โจทก์จะแนบสัญญาซึ่งมีเงื่อนไขการรับชำระเงินจากบัตรเครดิตมาท้ายฟ้องอันถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องก็ตาม แต่ทางนำสืบของโจทก์ดังกล่าว กล่าวอ้างถึงการกระทำผิดสัญญาของจำเลยแตกต่างจากที่โจทก์บรรยายฟ้อง จึงเป็นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานอกเหนือไปจากคำฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 1,302,477.96 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินจำนวน 1,109,261.01 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาเป็นสมาชิกร้านค้ากับโจทก์เพื่อรับชำระค่าสินค้าหรือบริการจากสมาชิกผู้ถือบัตรเครดิตของโจทก์โดยมีข้อตกลงว่า เมื่อจำเลยจะรับชำระค่าสินค้าหรือบริการจากสมาชิกผู้ถือบัตรเครดิตของโจทก์ จำเลยจะต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนตามเงื่อนไขในสัญญา ในกรณีจำเลยรับการใช้จ่ายค่าสินค้าหรือบริการโดยไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับและระเบียบในสัญญาโดยเคร่งครัดครบทุกข้อจำเลยต้องชำระเงินคืนให้แก่โจทก์ ต่อมาภายหลังปรากฏว่าจำเลยรับชำระค่าสินค้าโดยผิดเงื่อนไขทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่ได้รับชำระเงินคืนจากสมาชิกบัตร จากการบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาในขั้นตอนก่อนการชำระเงิน ซึ่งเมื่อศาลตรวจดูสัญญาเอกสารหมาย จ.4 มีเงื่อนไขก่อนการรับชำระเงินจากบัตรเครดิตของโจทก์อยู่ 3 ประการ คือ 1. เรื่องการยอมรับค่าสินค้าและบริการ เป็นการกำหนดให้จำเลยตรวจสอบความถูกต้องของบัตรของลูกค้าที่นำมาใช้ซื้อสินค้า 2. วงเงินซึ่งต้องมีการขออนุมัติ เป็นการกำหนดให้จำเลยตรวจสอบวงเงิน และ 3. แบบฟอร์มบันทึกค่าสินค้าและบริการ เป็นการกำหนดแบบฟอร์มบันทึกค่าสินค้าและบริการจะต้องมีรายละเอียดตามที่ระบุไว้ในสัญญา แต่ทางนำสืบของโจทก์กลับไม่ปรากฏว่าจำเลยปฏิบัติผิดเงื่อนไขดังกล่าวอย่างไร แต่โจทก์กลับนำสืบว่าจำเลยเพิกเฉยไม่ชี้แจงข้อร้องทุกข์และข้อสอบถามของสมาชิกบัตรซึ่งเป็นขั้นตอนหลังจากจำเลยได้รับชำระค่าสินค้าและบริการแล้ว แม้สัญญาจะเป็นเอกสารท้ายฟ้องซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง แต่ทางนำสืบของโจทก์เป็นการกล่าวอ้างถึงการกระทำผิดข้อสัญญาของจำเลยซึ่งแตกต่างไปจากที่โจทก์บรรยายฟ้อง จึงเป็นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานอกเหนือไปจากคำฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share