คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1366/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ผู้ร้องขัดทรัพย์จะร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่โจทก์นำยึดทั้งหมด เมื่อศาลฟังว่าผู้ร้องเป็นภริยาจำเลยแต่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยว่าทรัพย์ที่โจทก์นำยึดเป็นของจำเลยและผู้ร้องคนละครึ่งได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(2)
ในกรณีเช่นนี้ เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทรัพย์ที่ยึดแล้วก็หักเงินที่ขายให้แก่ผู้ร้องได้ครึ่งหนึ่ง

ย่อยาว

เดิมโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลย ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นของผู้ร้องขอให้ถอนการยึด
โจทก์ให้การว่าผู้ร้องเป็นภริยาจำเลยทรัพย์ที่ยึดเป็นของจำเลย หรือหากเป็นของผู้ร้อง ก็ตกอยู่ในภาระอันจะต้องถูกยึดมาเพื่อขายชำระหนี้เจ้าหนี้ได้
ศาลชั้นต้นฟังว่า ผู้ร้องเป็นภริยาจำเลยโดยมิได้จดทะเบียนสมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมายทรัพย์ที่โจทก์นำยึดเป็นของจำเลยและผู้ร้องคนละครึ่ง โจทก์มีสิทธินำยึดได้ จึงให้ยกคำร้อง คดีถึงที่สุดแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงขายทรัพย์ที่ยึดและหักเงินให้ผู้ร้องครึ่งหนึ่ง
โจทก์ร้องคัดค้านต่อศาล
ศาลชั้นต้นเห็นว่าการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจัดสรรแบ่งเงินให้แก่ผู้ร้องนั้นชอบแล้ว
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ศาลวินิจฉัยว่าทรัพย์ที่โจทก์นำยึดเป็นของจำเลยและผู้ร้องคนละครึ่งก็เพราะได้ความว่าทรัพย์นั้นทำมาหาได้ระหว่างจำเลยกับผู้ร้องเป็นสามีภริยากันแต่มิได้จดทะเบียนสมรส จึงแสดงว่าผู้ร้องมีส่วนเป็นเจ้าของในทรัพย์ที่โจทก์นำยึดจริง แม้ผู้ร้องจะอ้างว่าทรัพย์นั้นเป็นของตนทั้งหมดโดยมิได้แสดงให้ทราบว่าเป็นภริยาจำเลยก็ตาม จะฟังว่าคำร้องเป็นเท็จมิได้ และการที่ศาลเห็นสมควรจึงวินิจฉัยว่าทรัพย์ที่โจทก์นำยึดเป็นของจำเลยและผู้ร้องคนละครึ่งนั้น ก็อยู่ในอำนาจของศาลที่จะวินิจฉัยชี้ขาดได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒(๒)
ศาลฎีกาจึงพิพากษายืน

Share