แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามคำฟ้องโจทก์ขอให้จำเลยที่ 1 ผู้ซื้อสินค้าไฟฟ้าจากโจทก์รับผิดชำระค่าไฟฟ้าเพิ่มเติมแก่โจทก์ในกรณีที่เครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าแสดงค่าคลาดเคลื่อนตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ข้อ 6 ซึ่งกำหนดว่า “ในกรณีที่เครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าแสดงค่าคลาดเคลื่อน ผู้ซื้อยินยอมชำระค่าไฟฟ้าประจำเดือนไปก่อน โดยให้นำค่าไฟฟ้าเฉลี่ยของ 3 เดือนหลังสุดที่ถือว่าปกติติดต่อกัน หรือค่าไฟฟ้าที่คำนวณพื้นฐานวิศวกรรมไฟฟ้า โดยอาศัยหลักฐานข้อมูล ซึ่งตรวจสอบได้ในช่วงเวลานั้น มาเป็นค่าไฟฟ้าประจำเดือนของเดือนที่เริ่มมีการผิดพลาดเป็นต้นไป หากภายหลังการตรวจสอบเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้า มีผลแตกต่างจากที่เรียกเก็บไปแล้วนั้น คู่สัญญายินยอมให้เก็บเพิ่มหรือจ่ายคืน แล้วแต่กรณี” โจทก์มิได้อ้างในคำฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าไฟฟ้าเพิ่มย้อนหลังในกรณีที่จำเลยที่ 1 ผู้ซื้อเจตนากระทำหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำโดยมิชอบต่ออุปกรณ์ระบบจ่ายไฟฟ้าและหรือเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ข้อ 9 ดังนี้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าไฟฟ้าเพิ่มย้อนหลังต่อโจทก์ เพราะจำเลยที่ 1 มิได้กระทำหรือใช้ผู้อื่นกระทำโดยมิชอบต่ออุปกรณ์เครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าตามสัญญาข้อ 9 นั้น เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นหรือในประเด็นที่เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 246 ประกอบมาตรา 142 แต่เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้สืบพยานหลักฐานมาแล้ว ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของโจทก์ไปโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 247 ประกอบมาตรา 243 (1)
ดอกเบี้ยที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้แก่โจทก์ปรากฏตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าว่าเป็นดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดในกรณีที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าไฟฟ้าโดยกำหนดให้คิดในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ดอกเบี้ยอัตรานี้จึงเป็นค่าเสียหายที่กำหนดไว้ล่วงหน้าในกรณีผิดสัญญา มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับซึ่งหากศาลเห็นว่าเป็นเบี้ยปรับที่กำหนดไว้นั้นสูงเกินส่วน ศาลย่อมพิจารณาลดลงเป็นจำนวนพอสมควรไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้นำสืบเห็นถึงความเสียหายที่โจทก์ได้รับเพราะเหตุที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าไฟฟ้าว่าสูงถึงจำนวนดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ศาลฎีกาเห็นว่า เบี้ยปรับที่เป็นดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวสูงเกินไป จึงเห็นสมควรลดเบี้ยปรับนั้นลงเป็นดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 369,903.88 บาท โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดจำนวน 135,618.41 บาท กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินในส่วนของจำเลยที่ 1 จำนวน 352,025 บาท และในส่วนของจำเลยที่ 2 จำนวน 129,600 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดชำระเงินจำนวน 260,000 บาท ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดตามวงเงินค้ำประกันจำนวน 129,600 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินในส่วนของจำเลยที่ 1 จำนวน 260,000 บาท นับแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินในส่วนของจำเลยที่ 2 จำนวน 129,600 บาท นับแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระค่าไฟฟ้าเพิ่มเติมเนื่องจากเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าชำรุดทำให้หน่วยการใช้ไฟฟ้าที่ได้ใช้ไปแล้วน้อยกว่าสิ่งที่ควรจะเป็น จำเลยที่ 1 ได้บริโภคไฟฟ้าในส่วนที่ยังวัดไม่ได้ในขณะนั้น เมื่อโจทก์สามารถตรวจสอบและคิดคำนวณค่าไฟฟ้าในส่วนที่ขาดหายไปได้ จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ซื้อย่อมมีหน้าที่ต้องชำระราคาในส่วนที่ขาดหายไปนั้นแก่โจทก์ ส่วนสัญญาซื้อขายฉบับใหม่ ไม่ได้ขัดแย้งกับสัญญาซื้อขายฉบับเดิม ข้อความใดในสัญญาฉบับเดิมไม่ชัดแจ้ง สัญญาฉบับใหม่ก็ขยายความให้ชัดขึ้น กรณีที่เครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าของโจทก์ชำรุด หากจะใช้สัญญาฉบับใหม่บังคับ ก็ต้องปรับด้วยข้อ 6 ไม่ใช่ข้อ 9 ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย สัญญาฉบับใหม่ข้อ 6 เป็นกรณีเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าแสดงค่าคลาดเคลื่อนซึ่งเป็นกรณีเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าชำรุดบกพร่องทำให้แสดงค่าคลาดเคลื่อน ส่วนสัญญาฉบับใหม่ข้อ 9 เป็นกรณีที่ผู้ซื้อเจตนากระทำหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำโดยมิชอบต่ออุปกรณ์ระบบจ่ายไฟฟ้าและหรือเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าของโจทก์ การที่ศาลอุทธรณ์นำสัญญาข้อ 9 ดังกล่าวมาแปลความในทางกลับกันว่า หากเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าชำรุดโดยมิได้เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 1 ใช้ให้ผู้อื่นกระทำ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าไฟฟ้าเพิ่มเติมย้อนหลังจากจำเลยที่ 1 นั้น เป็นการนำข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณามาปรับใช้กับสัญญาผิดข้อไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าการชำรุดบกพร่องดังกล่าวมิได้เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 หรือจากการกระทำของผู้อื่นโดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้ให้กระทำโดยมิชอบ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าไฟฟ้าเพิ่มเติมย้อนหลังจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ และจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันการชำระค่าไฟฟ้าของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ดังนี้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าไฟฟ้าเพิ่มย้อนหลังต่อโจทก์ เพราะจำเลยที่ 1 มิได้กระทำหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำโดยมิชอบต่ออุปกรณ์เครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าตามสัญญาข้อ 9 นั้น จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นหรือในประเด็นที่เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 246 และประกอบมาตรา 142 อันเป็นการที่ศาลอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง แต่เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้สืบพยานหลักฐานมาแล้ว ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของโจทก์ไปโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 ประกอบมาตรา 243 (1)
จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระค่าไฟฟ้าเพิ่มเป็นเวลา 5 เดือน จำนวน 97,785 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 21 กรกฏาคม 2544 อันเป็นวันพ้นกำหนด 7 วัน นับจากวันที่จำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือบอกกล่าวจากโจทก์ให้ชำระหนี้ค่าไฟฟ้าเพิ่มตามหนังสือและใบไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ ซึ่งเป็นวันผิดนัด จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้แก่โจทก์ดังกล่าวปรากฏตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ว่าเป็นดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดในกรณีที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าไฟฟ้าโดยกำหนดให้คิดในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ดอกเบี้ยอัตรานี้จึงเป็นค่าเสียหายที่กำหนดไว้ล่วงหน้าในกรณีผิดสัญญา มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ซึ่งหากศาลเห็นว่าเบี้ยปรับที่กำหนดไว้นั้นสูงเกินส่วน ศาลย่อมพิจารณาลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้นำสืบให้เห็นถึงความเสียหายที่โจทก์ได้รับเพราะเหตุที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าไฟฟ้าว่าสูงถึงจำนวนดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ศาลฎีกาเห็นว่าเบี้ยปรับที่เป็นดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวสูงเกินไป จึงเห็นสมควรลดเบี้ยปรับนี้ลงเป็นดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ส่วนจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ดังกล่าวก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ในวงเงินจำนวนไม่เกิน 129,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามหนังสือต่ออายุสัญญาค้ำประกันและเพิ่มวงเงินและหนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารจำเลยที่ 2 จำนวน 8 ฉบับด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 97,785 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2544 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันชำระหนี้ดังกล่าวต่อโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ