คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3312/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ซึ่งมีอัตราโทษอย่างสูงจำคุกไม่เกินสามปีและปรับไม่เกินหกพันบาท ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 จำเลยอายุ12 ปี ไม่ต้องรับโทษตามมาตรา 74 แต่เห็นสมควรให้คุมประพฤติตามมาตรา 56 คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา193 ทวิ จำเลยอุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่าผู้เสียหายมีทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าถูกจำเลยลักทั้งพยานหลักฐานโจทก์ก็ฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายลักทรัพย์ของผู้เสียหายเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้ตามอุทธรณ์ของจำเลย แล้วพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ จึงเป็นการมิชอบ และต้องถือว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง โจทก์ไม่มีสิทธิฎีกาศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ลักไปให้แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 จำเลยอายุ 12 ปี ไม่ต้องรับโทษตามมาตรา 74 แต่เห็นสมควรให้คุมประพฤติตามมาตรา 56 โดยให้จำเลยรายงานตัวต่อจ่าศาลจังหวัดธัญบุรี ทุก 3 เดือนต่อครั้ง จนครบ1 ปี และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 275,130 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ซึ่งมีอัตราโทษอย่างสูงจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกพันบาท ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา334 จำเลยอายุ 12 ปี ไม่ต้องรับโทษตามมาตรา 74 แต่เห็นสมควรให้คุมประพฤติตามมาตรา 56 โดยให้จำเลยรายงานตัวต่อจ่าศาลจังหวัดธัญบุรี ทุก 3 เดือนต่อครั้งจนครบ 1 ปี คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ จำเลยอุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่า ผู้เสียหายมีทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าถูกจำเลยลัก ทั้งพยานหลักฐานโจทก์ก็ฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายลักทรัพย์ของผู้เสียหาย เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้ตามอุทธรณ์ของจำเลย แล้วพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์จึงเป็นการมิชอบ และต้องถือว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง โจทก์จึงไม่มีสิทธิฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ยกฎีกาโจทก์

Share