คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10452/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เช็คพิพาทมีการแก้จำนวนตัวเลขและตัวอักษร ซึ่งการแก้ดังกล่าวมีร่องรอยการขูดลบ และการเขียนขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีสีหมึกแตกต่างจากตัวเลขและตัวอักษรอื่น บุคคลทั่วไปก็สามารถมองเห็นการแก้ไขได้ ทั้งการแก้ดังกล่าวเป็นการเพิ่มจำนวนเงินเบิกถอนขึ้นมามากพอที่จะทำให้มีข้อสงสัยว่าจะเป็นการปลอมเอกสาร การที่จำเลยยังจ่ายเงินให้ไปทั้งที่พบเห็นข้อพิรุธดังกล่าวจึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อไม่ได้ใช้ความระวังระมัดด้วยฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการของธนาคารอันเป็นอาชีพของตน พ. ลูกจ้างของโจทก์ ตำแหน่งพนักงานบัญชีนำเช็ค 3 ฉบับ ซึ่งโจทก์กรอกรายการในเช็คครบถ้วนและลงลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเป็นตัวแทนไปถอนเงินจากบัญชีของโจทก์มามอบให้แก่โจทก์ แต่นาย พ. ได้ถือโอกาสจากภารกิจที่โจทก์มอบหมายให้กระทำนี้เบียดบังเอาเงินที่ถอนจากบัญชีของโจทก์ไป แม้ไม่มีการแก้ไขจำนวนเงินในเช็คพิพาท นาย พ. ก็สามารถเบียดบังเอาเงินตามจำนวนที่โจทก์สั่งจ่ายทั้งหมดไปได้ ถือได้ว่าความเสียหายได้เกิดขึ้นเพราะความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดของโจทก์ซึ่งเป็นตัวการประกอบด้วย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 442 ศาลฎีกาให้จำเลยรับผิดกึ่งหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ขอบังคับให้จำเลยชำระเงินจำนวน 371,521.49 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน358,093 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 371,521.49 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 358,093 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 30 เมษายน 2546) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เช็คพิพาทพบการแก้จำนวนเลขหลักแสนทั้งตัวเลขและตัวอักษร คือ จากสองแสนบาทเป็นสามแสนบาท การแก้ดังกล่าวมีทั้งร่องรอยการขูดลบ และการเขียนขึ้นมาใหม่เนื่องจากมีสีหมึกแตกต่างจากตัวเลขและตัวอักษรอื่น ซึ่งแม้จะเป็นบุคคลทั่วไปก็สามารถพบเห็นการแก้ได้ในทันที จึงเป็นการแก้ที่เห็นได้ชัดแจ้ง ทั้งการแก้ดังกล่าวเป็นการเพิ่มจำนวนเงินเบิกถอนขึ้นมามากพอที่จะทำให้มีข้อสงสัยว่าจะเป็นการปลอมเอกสาร การที่จำเลยยังจ่ายเงินให้ไปทั้งที่พบเห็นข้อพิรุธดังกล่าวจึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อไม่ได้ใช้ความระมัดระวังด้วยฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการของธนาคารอันเป็นอาชีพของตน ถือได้ว่าความเสียหายได้เกิดขึ้นเพราะความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดของโจทก์ซึ่งเป็นตัวการประกอบด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442 จึงให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์เพียงกึ่งหนึ่งของเงินจำนวน 358,093 บาท เป็นเงิน 179,046.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดคือวันที่หักเงินออกจากบัญชีของโจทก์เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2545 ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงินจำนวน 179,046.50 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2545 จนกว่าจะชำระเสร็จและให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นฎีกา โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share