คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1099/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยมีใบเสร็จการชำระค่าเช่าในระยะหลังนั้น มิได้หมายความว่าค่าเช่าก่อน ๆ นั้นจำเลยมิได้ค้างชำระ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 327 วรรคแรกซึ่งบัญญัติว่า “ในกรณีชำระดอกเบี้ย หรือชำระหนี้อย่างอื่นอันมีกำหนดชำระเป็นระยะเวลานั้น ถ้าเจ้าหนี้ออกใบเสร็จให้เพื่อระยะหนึ่งแล้วโดยมิได้อิดเอื้อนท่านให้สันนิษฐานซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยผู้มีใบเสร็จที่จะไม่ต้องนำพยานหลักฐานมาสืบว่าไม่ได้ค้างชำระค่าเช่าในระยะก่อนเท่านั้น คือตกเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบหักล้าง หาใช่เป็นข้อสันนิษฐานเด็ดขาดไม่
เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ค้างชำระค่าเช่า การที่จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยมิได้ค้างค่าเช่า ย่อมเป็นการอุทธรณ์ข้อเท็จจริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าห้องแถวโจทก์โดยไม่มีสัญญาเช่าและไม่ชำระค่าเช่า ขอให้บังคับให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างและขับไล่จำเลย
จำเลยให้การว่าจำเลยไม่เคยค้างค่าเช่า
ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยค้างชำระค่าเช่าเป็นการผิดสัญญาเช่า โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยมิได้ค้างค่าเช่าโดยจำเลยมีใบเสร็จรับเงินระยะหลัง ต้องสันนิษฐานว่าจำเลยไม่ติดค้างชำระค่าเช่าในระยะก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๗
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การอุทธณ์ดังกล่าวเป็นการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงและเป็นกรณีต้องห้ามอุทธรณ์ ให้ยกอุทธรณ์จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยมีใบเสร็จการชำระค่าเช่าในระยะหลังนั้น มิได้หมายความว่าค่าเช่าก่อน ๆ นั้นจำเลยได้ชำระแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๗ วรรคแรก นั้นเป็นเพียงข้อสันนิษฐานซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยผู้มีใบเสร็จที่จะไม่ต้องนำพยานหลักฐานมาสืบว่าไม่ได้ค้างชำระค่าเช่าในระยะก่อนเท่านั้น คือตกเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบหักล้าง หาใช่เป็นข้อสันนิษฐานเด็ดขาดไม่ เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ค้างชำระค่าเช่า การที่จำเลยอุทธรณ์ว่ามิได้ค้างค่าเช่าโดยอาศัยมาตรา ๓๒๗ แพ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้นย่อมเป็นการอุทธรณ์ข้อเท็จจริง
พิพากษายืน

Share