คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2208/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะส่วนตัวและทายาทผู้รับมรดกของ ก.ขอให้พิพากษาว่าที่พิพาท 2 แปลงเป็นของโจทก์มีสิทธิครอบครอง เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าที่พิพาททั้ง 2 แปลงดังกล่าวมีบุคคลอื่นซึ่งเป็นทายาทผู้รับมรดกของ ก. มีสิทธิครอบครองรวมอยู่ด้วยการที่จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ยอมรับว่าที่พิพาททั้ง 2 แปลงเป็นของโจทก์ยินยอมเปลี่ยนแปลงชื่อทางทะเบียนในเอกสารสิทธิให้โจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการที่เจ้าของรวมคนหนึ่งใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359 และการ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็มิใช่คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ของที่พิพาทอันจะมีผลใช้ยันทายาทของ ก.ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้คำพิพากษาตามยอมมีผลผูกพันเฉพาะจำเลยซึ่งเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคแรกเท่านั้น

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากการที่โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้พิพากษาว่าที่ดินนา 2 แปลง เป็นที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครอง ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเกี่ยวข้องและให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของนายกิ่ง ชัยกิจ เลขที่ 1097 และเลขที่ 1103 ทั้ง 2 ฉบับ ต่อมาโจทก์จำเลยได้ตกลงประนีประนอมยอมความกันต่อหน้าศาลว่า จำเลยตกลงรับว่าที่ดิน 2 แปลง พิพาทเป็นของโจทก์โดยจำเลยยินยอมไปเปลี่ยนแปลงชื่อทางทะเบียนในเอกสารสิทธิแก่โจทก์ภายใน 15 วัน

ต่อมาจำเลยผิดนัด โจทก์ได้นำสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมไปแสดงต่อนายอำเภอท่าศาลเพื่อขอโอนที่พิพาททั้ง 2 แปลง แต่ปรากฏว่าบรรดาทายาทของนายกิ่ง ชัยกิจได้ขอโอนมรดกและจดทะเบียนโอนที่ดินทั้ง 2 แปลงลงชื่อมารดาภรรยาและบุตรเจ้าของมรดกไปตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2524 นายอำเภอท่าศาลาจึงหารือมายังศาลชั้นต้นว่าจะให้ทางอำเภอดำเนินการอย่างไร ศาลชั้นต้นได้แจ้งไปยังนายอำเภอท่าศาลาว่าคดีนี้ โจทก์ฟ้องนางจื้อ ชัยกิจ เป็นจำเลยในฐานะส่วนตัวผู้รับมรดกนายกิ่ง ชัยกิจ จึงมีผลบังคับเฉพาะนางจื้อ ชัยกิจ ให้อำเภอดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนในเอกสาร น.ส.3 ก. ให้มีชื่อนายพร้อม ชัยกิจ เป็นผู้ถือสิทธิแทนที่นางจื้อ ชัยกิจ เฉพาะตัวได้

โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าโจทก์ฟ้องนางจื้อ ชัยกิจ ในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้รับมรดกนายกิ่ง ชัยกิจ ถือว่าได้ฟ้องทายาททุกคนแล้วและไม่จำต้องฟ้องทายาทนายกิ่งทุกคนก็ผูกพันทายาททุกคนเมื่อนางจื้อยอมรับว่าที่พิพาทไม่ใช่มรดกของนายกิ่ง ทายาทของนายกิ่งทุกคนย่อมไม่มีสิทธิที่จะเป็นเจ้าของที่พิพาทและการใส่ชื่อทายาทของนายกิ่งลงในเอกสารสิทธิสำหรับที่พิพาท เป็นเรื่องนางจื้อเป็นผู้ใส่ชื่อไว้ทั้งสิ้นและได้ใส่หลังจากยอมความแล้วเป็นการไม่สุจริต ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นและมีคำสั่งใหม่ให้นายอำเภอท่าศาลาดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนในเอกสาร น.ส.3 ก. โดยให้ลงชื่อทายาทของนายกิ่งทุกคนออกจากน.ส.3 ก. และใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือสิทธิแต่ผู้เดียว

จำเลยคัดค้านว่า โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะส่วนตัวและเป็นทายาทผู้รับมรดกนายกิ่ง ที่พิพาทเป็นของนายกิ่ง นายกิ่งถึงแก่กรรมโดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้และไม่ได้ตั้งผู้ใดเป็นผู้จัดการมรดก มรดกของนายกิ่งจึงตกแก่ทายาทโดยธรรม ซึ่งมีบุตร 4 คน ภรรยาคือจำเลยและมารดาของนายกิ่ง โจทก์ได้รับสิทธิแทนจำเลยเท่านั้นหาได้มีสิทธิในส่วนของทายาทอื่นไม่ ทนายจำเลยจะไปยอมความผูกพันทายาทอื่นหาได้ไม่ ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยปรากฏข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทมีนายกิ่ง ชัยกิจเป็นผู้มีชื่อถือสิทธิในเอกสาร จำเลยเป็นภริยานายกิ่ง โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อนายกิ่งถึงแก่กรรมแล้วและฟ้องจำเลยในฐานะส่วนตัว ไม่ว่ากรณีฐานะทายาทผู้รับมรดกนายกิ่งก็ตาม คำพิพากษาตามยอมระหว่างโจทก์จำเลยจึงไม่ผูกพันบุคคลภายนอกคดี ยกคำร้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องมาโดยชัดแจ้งว่าโจทก์กับนายกิ่งเจ้ามรดกเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันและจำเลยเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดก และจำเลยให้การว่าเด็กหญิงเพ็ญนภา เด็กหญิงระวิวรรณ เด็กชายก้องเดช และเด็กหญิงผานิต เป็นบุตรของจำเลยอันเกิดจากนายกิ่งและโจทก์ฟ้องคดีนี้ภายหลังที่นายกิ่งถึงแก่กรรมประมาณ 1 ปี เชื่อได้ว่าโจทก์ทราบดีว่านายกิ่งเจ้ามรดกมีทายาทคือจำเลย นางอิ่มและผู้เยาว์ทั้งสี่ แม้ที่พิพาททั้งสองแปลงจะเป็นมรดกของนายกิ่งที่ตกทอดแก่จำเลยนางอิ่มและบุตรผู้เยาว์ทั้งสี่ทันทีที่นายกิ่งถึงแก่กรรมและนับตั้งแต่นั้นจำเลย นางอิ่ม และผู้เยาว์ทั้งสี่ต่างเป็นเจ้าของรวมในที่พิพาททั้ง 2 แปลง และโจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยในฐานะเป็นทายาทของนายกิ่งเจ้ามรดกเป็นคดีนี้แต่ผู้เดียวการที่จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ยอมรับว่าที่พิพาททั้ง 2 แปลงเป็นของโจทก์ยินยอมไปเปลี่ยนแปลงชื่อทางทะเบียนในเอกสารสิทธิดังกล่าวให้โจทก์ กรณีถือไม่ได้ว่าเป็นการที่จำเลยเจ้าของร่วมคนหนึ่งใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359 เพราะการที่จำเลยยอมรับว่าที่พิพาททั้ง 2 แปลงเป็นของโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมิใช่เป็นการใช้สิทธิต่อสู้กับโจทก์หรือเป็นการกระทำเพื่อรักษาทรัพย์สินที่เป็นเจ้าของรวมแต่ประการใด การทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำการแทนนางอิ่มและผู้เยาว์ทั้งสี่ซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่พิพาททั้ง 2 แปลงด้วยประกอบกับเมื่อศาลชั้นต้นได้พิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความคำพิพากษาตามยอมก็มิใช่คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ของที่พิพาทอันจะมีผลใช้ยันต่อนางอิ่มและผู้เยาว์ทั้งสี่ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้จึงมีผลผูกพันเฉพาะจำเลยซึ่งเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคแรกเท่านั้น โจทก์จะขอบังคับคดีให้กระทบกระเทือนถึงสิทธิของนางอิ่มและผู้เยาว์ทั้งสี่ที่มีอยู่ก่อนที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยบุคคลเหล่านี้มิได้เป็นคู่ความด้วยหาได้ไม่

พิพากษายืน

Share