คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3350/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อฟัง ว่าจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์ได้ปฏิบัติผิดสัญญาจ้างแรงงาน คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแรงงานกลาง และมีอายุความ 10 ปี จำเลยเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่อนุมัติสินเชื่อของบริษัทโจทก์ได้อนุมัติให้ลูกค้าของโจทก์กู้เงินไปจากโจทก์โดยผิดขั้นตอนหลักเกณฑ์และระเบียบวิธีปฏิบัติจำนวน 16,300,000 บาท โดยมีที่ดินจำนองไว้เป็นประกันตามราคาประเมินเพียง 4,618,500 บาท โจทก์ติดตามขอรับชำระหนี้จากลูกค้าของโจทก์ได้เพียง 31,041.09 บาทเท่านั้นเช่นนี้ จำเลยต้องรับผิดใช้คืน เงินต้น ที่เรียกเก็บจากลูกค้าไม่ได้จำนวน 16,268,958.91 บาท ให้แก่โจทก์ ส่วนที่ดิน 9 แปลงที่ลูกค้าจำนองไว้เป็นประกันนั้นโจทก์สามารถบังคับมาชำระหนี้ได้ส่วนหนึ่งจึงต้องนำมาหักออกจากจำนวนเงินที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วยแต่เนื่องจากที่ดินทั้ง 9 แปลงนี้อาจจะมีราคาสูงขึ้นเมื่อมีการบังคับจำนอง ราคาประเมิน 4,618,500 บาท จึงไม่ใช่ราคาที่แท้จริงในการประเมินค่าเสียหาย จะนำมาหักออกจากความรับผิดของจำเลยเพียงเท่าราคาประเมินไม่ได้ ถ้า มีการบังคับจำนองที่ดินทั้ง 9 แปลงนั้นได้มากกว่าราคาประเมิน จะต้องนำราคาส่วนที่เกินนี้มาหักออกจากค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ด้วย ดอกเบี้ยที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากลูกค้าในอัตราร้อยละ 18ต่อปีนั้น เป็นอัตราที่กำหนดไว้ตามสัญญากู้ระหว่างโจทก์กับลูกค้าแต่คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดและผิดสัญญาจ้างแรงงาน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกดอกเบี้ยตามสัญญากู้จากจำเลย คงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยตามกฎหมายในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคแรก.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยเป็นลูกจ้างและเป็นกรรมการบริษัทโจทก์ โดยมีตำแหน่งเป็นกรรมการผู้อำนวยการ จำเลยให้กู้ยืมเงินแก่ลูกค้าโจทก์โดยผิดขั้นตอนหลักเกณฑ์และระเบียบวิธีปฏิบัติตามที่โจทก์ปฏิบัติ และจำเลยจงใจไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุนธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 มาตรา 54 เท่าที่โจทก์ตรวจพบในขณะฟ้องคดีนี้รวม 9 ราย คิดเป็นเงินรวม 16,300,000 บาท จำเลยจะต้องใช้คืนโจทก์ทั้งสิ้นรวม 31,180,233.72 บาท โจทก์ได้ติดตามทวงถามหลายครั้งแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้จำเลยใช้เงินจำนวน 31,180,233.72บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบแปดต่อปีของต้นเงิน3,980,000 บาท และสิบเก้าครึ่งต่อปีของต้นเงิน 12,288,958.91บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะฟ้องโจทก์เป็นการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากกรรมการของตน ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169 และ 812 โดยเฉพาะ กรณีเช่นนี้จะต้องมีความเสียหายเกิดขึ้นจริงตามกฎหมายแก่โจทก์แล้วค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์เรียกร้องทั้งหมด ไม่ได้เป็นค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจริงตามกฎหมาย เป็นเพียงการคาดคะเนของโจทก์ตามอำเภอใจในระหว่างที่จำเลยมีฐานะเป็นกรรมการผู้อำนวยการของโจทก์นั้น โจทก์ได้มอบอำนาจให้จำเลยมีอำนาจพิจารณาอนุมัติในการให้สินเชื่อแก่ลูกค้าในธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์แต่ละราย โดยอาศัยดุลพินิจของจำเลยเพียงผู้เดียวได้ในวงเงินรายละไม่เกิน 2 ล้านบาทและจำเลยในฐานะผู้มีอำนาจก็ได้ปฏิบัติหน้าที่ใช้อำนาจตามมาตราฐานที่โจทก์กำหนดพิจารณาให้สินเชื่อและอนุมัติภายในกรอบอำนาจหน้าที่ด้วยความระมัดระวังเยื่องบุคคลผู้ประกอบการค้าตามปกติโดยสม่ำเสมอตลอดมาการเรียกร้องค่าเสียหายในกรณีดังกล่าว ต้องอยู่ภายในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 การที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องเอาค่าเสียหายคดีนี้เกินกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ข้อหาตามฟ้อง คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์มีสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลยเป็นลูกจ้างโจทก์ตำแหน่งกรรมการผู้อำนาจการได้ปฏิบัติผิดสัญญาจ้างแรงงานจนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงาน พ.ศ. 2522 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยฐานละเมิดและผิดสัญญาจ้างแรงงาน มีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 ฟ้องของโจทก์ไม่ขาดอายุความ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยพิจารณาปล่อยสินเชื่อตามฟ้อง 9 ราย โดยไม่ได้ตรวจสอบหลักทรัพย์และประเมินราคาที่ดินก่อน ไม่มีการตรวจสอบฐานะของผู้กู้ ในคำขอกู้ไม่ระบุวัตถุประสงค์หรือระบุไม่ชัดแจ้ง จำเลยอนุมัติให้กู้โดยรวบรัดไม่ผ่านเจ้าหน้าที่ตามลำดับชั้น เป็นการฝ่าฝืนต่อระเบียบการให้กู้ยืมเงินของโจทก์ โดยอนุมัติให้ลูกค้ายืมเงิน 9 ราย เป็นเงิน 16,300,000 บาท แต่มีที่ดินจำนองไว้เป็นประกัน 9 แปลง มีราคาประเมินเพียงจำนวน 4,618,500 บาท เท่านั้นเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย พิพากษาให้จำเลยชดใช้เงินจำนวน 11,681,500 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนดคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม 2522 จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2527จำเลยเป็นลูกจ้างและกรรมการบริษัทโจทก์โดยมีตำแหน่งเป็นกรรมการผู้อำนวยการ จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้เป็นลูกจ้างของโจทก์ ในชั้นพิจารณาจำเลยยังเบิกความว่า จำเลยเคยเป็นกรรมการผู้จัดการโจทก์ตั้งแต่ พ.ศ. 2522 ถึง 2527 ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 15,000 บาท ได้ลาออกจากบริษัทโจทก์ตั้งแต่วันที่16 พฤศจิกายน 2527 ข้อเท็จจริงตามคำฟ้อง คำให้การและตามทางนำสืบของจำเลยจึงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นลูกจ้างของโจทก์ การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นลูกจ้างหาใช่วินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ไม่ปรากฏในสำนวนตามที่จำเลยอุทธรณ์ไม่ เมื่อศาลแรงงานกลางฟังว่าจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์ได้ปฏิบัติผิดสัญญาจ้างแรงงาน คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแรงงานกลางและการที่ศาลแรงงานกลางนำเอาหลักกฎหมายเรื่องสัญญาจ้างแรงงานมาปรับแก่คดีว่า คดีนี้มีอายุความ 10 ปี ฟ้องของโจทก์ไม่ขาดอายุความจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ส่วนนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนการที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยโดยไม่ได้ฟ้องบังคับเอาจากตัวลูกหนี้และบังคับเอาจากที่ดิน9 แปลงซึ่งได้จำนองไว้เป็นหลักประกันก่อนนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินแก่ลูกค้าโจทก์โดยผิดขั้นตอนหลักเกณฑ์และระเบียบวิธีปฏิบัติ และจงใจไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุนธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์พ.ศ. 2522 ด้วยการปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้า 9 ราย รวมเป็นเงิน16,300,000 บาท โดยมีที่ดินเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนจำนองเป็นประกัน 9 แปลงตีราคาตามราคาประเมินได้ราคาไม่คุ้มหนี้ ลูกค้าทั้ง9 รายจึงไม่ยอมชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนตามสัญญา โจทก์ได้รับชำระหนี้ตจากลูกค้าทั้ง 9 รายเพียง 31,041.09 บาทเท่านั้น ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในต้นเงินและดอกเบี้ยที่ลูกค้าค้างชำระคำฟ้องของโจทก์จึงได้บรรยายถึงการกระทำของจำเลยที่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์รวมตลอดถึงค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับโดยชัดแจ้งแล้วหาใช่เป็นกรณีที่ความเสียหายยังไม่เกิด และไม่มีเหตุที่จะมาวินิจฉัยให้จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามที่จำเลยอุทธรณ์ไม่ ส่วนความรับผิดของจำเลยนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางว่า จำเลยอนุมัติให้ลูกค้ากู้เงินโดยผิดระเบียบจำนวน 16,300,000 บาท แต่มีที่ดินจำนองไว้เป็นประกัน 9 แปลงรวมราคาตามราคาประเมินเป็นเงิน 4,618,500 บาท เมื่อนำเอาราคาที่ดินมาหักกลบแล้ว ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชดใช้เงินค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 11,681,500 บาท ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์นั้นยอมรับว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้จากลูกค้าจำนวน31,041.09 บาท จำเลยจึงต้องรับผิดใช้คืนเงินต้น 16,268,958.91 บาทเท่านั้น ศาลแรงงานกลางกำหนดค่าเสียหายจากต้นเงิน 16,300,000 บาทจึงไม่ถูกต้อง นอกจากนี้โจทก์ได้กำหนดราคาที่ดิน 9 แปลง ที่จำนองประกันหนี้เงินกู้มาโดยตีราคาตามราคาประเมินของทางราชการในระหว่าง พ.ศ. 2526 ถึง 2527 มีราคารวมจำนวน 4,618,500 บาทและศาลแรงงานกลางได้ถือเป็นราคาที่ดินในการหักค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องชดใช้ให้โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ลูกค้าได้วางหลักประกันด้วยการจำนองที่ดิน หลักประกันคือที่ดินซึ่งอาจจะมีราคาสูงขึ้นเมื่อมีการบังคับจำนอง ราคาประเมินที่โจทก์กล่าวอ้างจึงไม่ใช่ราคาที่แท้จริงในการประเมินค่าเสียหาย แม้จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้เกี่ยวกับราคาประเมิน แต่จำเลยก็ได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ยังไม่ได้บังคับชำระหนี้จากตัวลูกหนี้และหลักประกัน จึงไม่อาจทราบความเสียหายที่แท้จริงได้ ดังนั้นถ้ามีการบังคับจำนองที่ดินทั้ง 9 แปลงที่เป็นหลักประกันได้ราคาที่ดินมามากกว่าราคาประเมินตามฟ้องโจทก์ราคาที่ดินส่วนที่มากกว่านี้ย่อมเป็นคุณแก่จำเลยและจะต้องนำมาหักออกจากค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ด้วย อุทธรณ์ส่วนนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ส่วนโจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยคืนต้นเงิน 16,268,958.91 บาท กับดอกเบี้ยที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากลูกค้าเป็นเงิน 14,911,274.81 บาท แต่ศาลแรงงานกลางกลับวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ใช่คู่สัญญากับจำเลยในการกู้ยืมหรือจำนองจึงไม่อาจเรียกดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบแปดหรือสิบเก้าครึ่งต่อปีตามสัญญาได้ โจทก์อาจเรียกดอกเบี้ยได้เพียงอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามกฎหมายนั้น โจทก์ไม่เห็นด้วย ขอให้จำเลยชดใช้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามฟ้องจำนวน 14,911,274.81 บาทนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกร้องมาตามฟ้องนั้น เป็นดอกเบี้ยที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากลูกค้าของโจทก์ตามสัญญากู้ในทางการค้าของโจทก์ ซึ่งโจทก์อาจคิดดอกเบี้ยจากลูกค้าได้ในอัตราที่กำหนดไว้ตามข้อสัญญาแต่คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดและผิดสัญญาจ้างแรงงานอันเป็นค่าเสียหายที่เป็นหนี้เงินตามจำนวนที่จำเลยให้ลูกค้ากู้ยืมโดยฝ่าฝืนระเบียบของโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยตามกฎหมายตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 224 วรรคแรก คืออัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้โจทก์ได้รับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีชอบแล้วอุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชดใช้เงินจำนวน 11,650,458.91 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง(วันที่ 11 มกราคม 2532) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ทั้งนี้โจทก์จะต้องบังคับจำนองที่ดินที่ 9 แปลงตามฟ้องก่อน ถ้าได้เงินมาเกินกว่า 4,618,500 บาท เท่าใด เงินส่วนที่เกินนั้นให้นำมาหักจากจำนวนหนี้ที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ตามคำพิพากษาคดีนี้.

Share