คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 449/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยถูกผู้เช่าเดิมเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่ให้ออกจากห้องพิพาทจนได้ทำสัญญายอมความกันต่อศาลว่าจะออกจากห้องไปภายในกำหนดแล้วกลับปรากฏว่าผู้ให้เช่าได้มีหนังสือบอกเลิกการเช่ากับโจทก์ และตกลงจะให้จำเลยเช่าห้องพิพาทต่อไป ซึ่งโจทก์ได้คัดค้านอยู่ ดังนี้ ไม่ทำให้จำเลยมีสิทธิจะคงอยู่ในห้องพิพาทต่อไป เพียงแต่เป็นเหตุพอที่ศาลยังไม่ควรจะจับกุมกักขังจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากห้องเช่าซึ่งโจทก์ได้เช่าจากสำนังานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ในที่สุดคู่ความได้ประนีประนอมยอมความกันต่อศาลว่า จำเลยยอมออกจากห้องเพิาทภายใน ๒ เดือน หากไม่ปฏิบัติตามยอมให้โจทก์บังคับคดีทันทีและยอมให้ริบเงินมัดจำ และยกสิ่งปลูกสร้างที่ต่อเติมให้โจทก์ ก่อนถึงกำหนด ๓ วันจำเลยยื่นคำร้องต่อศาลว่า ทางทรัพย์ฯ ได้มีคำสั่งเลิกสัญญาเช่ากับโจทก์และจะให้จำเลยเช่าต่อไป ขอให้ศาลยืดเวลาให้จำเลยอยู่ต่อไป จนกว่าทรัพย์สินฯ จะทำสัญญาเช่าให้จำเลย ครั้นพ้นกำหนดตามยอม โจทก์ร้องขอให้ออกหมายจับจำเลยฐานไม่ปฏิบัติตามหมายบังคับ
ศาลชั้นต้นสอบคู่ความ โจทก์แถลงว่าได้รับหนังสือบอกเลิกการเช่าจากทรัพย์สินฯจริง แต่ได้มีหนังสือคัดค้านไปแล้วว่าทรัพย์สินยังไม่มีสิทธิบอกเลิก จำเลยแถลวว่าทรัพย์สินฯ ได้ตกลงให้จำเลยเช่า แต่ยังไม่ได้ทำสัญญาเช่า และได้ขอให้ศาลเรียกคำสั่งของทรัพย์สินดังกล่าวมาแสดง ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยยังคงอยู่ในตีกพิพาท ไม่ใช่เป็นการจงใจขัดคำบังคับของศาล ไม่สมควรออกหมายจับ ให้ยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยยังมิได้เข้าทำสัญาเป็นผู้เช่าที่ทรัพย์สินอนุมัติ ไม่เกี่ยวถึงจำเลย ไม่เป็นข้อแก้ตัวที่จำเลยจะขัดขืน โจทก์ยังโต้แย้งการบอกเลิกของทรัพย์สินอยู่ พิพากษากลับให้ดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีาเห็นว่า การที่จำเลยไม่ยอมออกไปตามกำหนดในสัญญายอมด้วยเหตุดังกล่าว ก็มีเหตุพอ ซึ่งศาลยังไม่ควรจะมีคำสั่งจับกุมและกักขังจำเลยแต่ข้ออ้างของจำเลยเช่นนี้ไม่ทำให้จำเลยมีสิทธิที่จะคงอยู่ในห้องพิพาทต่อไป เพระการที่จำเลยเพียงแต่ตกลงกับทรัพย์สินก็ดี การที่ทรัพย์สินฯมีหนังสือบอกเลิกการเช่าถึงโจทก์ก็ดี ไม่เป็นเหตุที่จะลบล้างสัญญาประนีประนอมยอมความทีได้ทำไว้ต่อศาลได้
พิพากษายืน

Share