แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุด่าโจทก์ก่อน เมื่อโจทก์จะเข้ามาทำร้ายร่างกาย จำเลยจึงได้ทำร้ายโจทก์นั้น ไม่เป็นการป้องกัน
เมื่อข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาไม่เพียงพอแก่การวินิจฉัย ศาลฎีกาย่อมฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากพยานหลักฐานในสำนวนได้
จำเลยทำร้ายโจทก์บาดเจ็บมีแผลที่หางคิ้วซ้ายยาวประมาณ4.5 เซนติเมตร เย็บไว้ 12 เข็ม แพทย์ผู้ตรวจรักษาบาดแผลว่าแผลนี้เมื่อหายแล้วเป็นแผลเป็นมองเห็นได้ในระยะ 6 เมตรแต่แผลเป็นนี้อาจจางลงได้ และปรากฏจากภาพถ่ายว่า แผลที่คิ้วซ้ายเป็นเพียงรอยขีด ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก ดังนี้ จึงยังไม่ถึงกับทำให้หน้าเสียโฉมอย่างติดตัวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(4).(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องในสำนวนแรกแล้ว ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การว่า จำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์ที่ 1 โดยป้องกันตัว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 จำคุก 1 ปี คำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาประกอบกับจำเลยเสนอชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 40,000บาท แต่โจทก์ที่ 1 จะคิดค่าเสียหายถึง 80,000 บาท จึงลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน
โจทก์ที่ 1 และจำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้จำเลยฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายตามที่ศาลฎีกาและศาลชั้นต้นสั่งรับมาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบหรือไม่ และสภาพแผลเป็นที่ใบหน้าของโจทก์ที่ 1ทำให้หน้าเสียโฉมอย่างติดตัวเป็นอันตรายสาหัสอันจะทำให้จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 หรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนว่าจำเลยเป็นฝ่ายด่าโจทก์ที่ 1 ก่อน เมื่อโจทก์ที่ 1 จะเข้ามาทำร้ายจำเลย จำเลยจึงได้ทำร้ายโจทก์ที่ 1 ดังนี้เห็นได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อน การที่จำเลยทำร้ายโจทก์ที่ 1 จึงไม่เป็นการป้องกัน ส่วนปัญหาเรื่องแผลบนใบหน้าของโจทก์ที่ 1 นั้นศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า แผลที่หางคิ้วซ้ายของโจทก์ที่ 1 ยาวประมาณ 4.5 เซนติเมตร เย็บไว้ 12 เข็ม นายแพทย์มโนชญ์ สุวรรณศรีผู้ตรวจรักษาบาดแผลโจทก์ที่ 1 ว่าแผลนี้เมื่อหายแล้วเป็นแผลเป็นมองเห็นได้ในระยะ 6 เมตร แต่แผลเป็นนี้อาจจางลงได้ ศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์ยังมิได้ฟังว่าบาดแผลของโจทก์ที่ 1 กว้างเท่าใดข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาจึงยังไม่เพียงพอแก่การวินิจฉัยศาลฎีกาเห็นสมควรฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากพยานหลักฐานในสำนวนซึ่งปรากฏจากภาพถ่ายใบหน้าของโจทก์ที่ 1 หมาย จ.6 ว่า แผลที่คิ้วซ้ายของโจทก์ที่ 1 เป็นเพียงรอยขีดไม่ชัดเจนเท่าใดนัก ดังนี้แผลที่ใบหน้าของโจทก์ที่ 1 ยังไม่ถึงกับทำให้หน้าเสียโฉมอย่างติดตัวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(4) แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 ได้รับอันตรายสาหัสคงเป็นความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายโจทก์ที่ 1 จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายของโจทก์ที่ 1 เท่านั้น ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นเป็นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา295 จำคุก 6 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุกจำเลย 3 เดือน