แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยขนแร่ดีบุกซึ่งแต่งและย่าง แห้งแล้วบรรจุไว้ในกระสอบที่มีน้ำหนักเท่ากันจำนวนถึง 853 กระสอบ จากบนบกลงเรือหางยาวนำไปเก็บไว้บนแพซึ่งจอดอยู่กลางทะเลลึกห่างจากฝั่งถึง 2 กิโลเมตร เพื่อรอเรือใหญ่มาขนต่อไปอีกทอดหนึ่ง โดยแพก็มีเครื่องยนต์ถึง 2 เครื่อง ซึ่งสามารถนำแร่ดีบุกต่อไปยังเรือใหญ่เพื่อส่งออกนอกราชอาณาจักรได้โดยง่าย แสดงว่าจำเลยมีเจตนาลักลอบส่งแร่ดีบุกออกนอกราชอาณาจักร และถือได้ว่าเป็นการกระทำที่เลยขั้นตระเตรียมการแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามลักลอบนำแร่ออกนอกราชอาณาจักร
ความผิดฐานพยายามลักลอบนำแร่ออกนอกราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 129, 152 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2522 มาตรา 23 และพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27, 102 ตรี เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท และการพิจารณาว่าบทกฎหมายใดเป็นบทหนักหรือเบากว่ากันนั้นจะต้องพิเคราะห์จากอัตราโทษจำคุก ปรากฏว่าโทษจำคุกตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 152 ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2522 มาตรา 23 กับโทษจำคุกตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 102 ตรี นั้น มีอัตราโทษสูงสุดเท่ากันคือจำคุกไม่เกิน 10 ปี แต่ความผิดฐานพยายามลักลอบนำแร่ออกนอกราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ มาตรา 27 มีอัตราโทษเท่ากับการทำความผิดสำเร็จ ดังนั้น โทษจำคุกตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ ดังกล่าวจึงหนักกว่าโทษจำคุกตามพระราชบัญญัติแร่ฯ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีแร่ดีบุกจำนวน ๘๕๓ กระสอบน้ำหนัก ๓๒,๙๘๓.๕๑ กิโลกรัม ราคา ๗,๐๐๒,๑๖๘.๓๕ บาท ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และจำเลยทั้งสองได้นำแร่ดังกล่าวไปซุกซ่อนไว้บนแพในทะเลเพื่อส่งออกนอกราชอาณาจักร อันเป็นการพยายามหลบหนีภาษีศุลกากรหลีกเลี่ยงข้อจำกัดในการส่งออกและพยายามลักลอบนำแร่ออกนอกราชอาณาจักร ทั้งจำเลยทั้งสองได้เก็บแร่ไว้บนแพเป็นการฝ่าฝืนประกาศกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๙ (พ.ศ. ๒๕๑๗) ฯ ด้วย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๑๗, ๑๐๕, ๑๒๙, ๑๓๓ ทวิ, ๑๔๘, ๑๕๒, ๑๕๕ ฯ กฎกระทรวงฉบับที่ ๒๙ (พ.ศ. ๒๕๑๗) พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗, ๓๒, ๑๐๒ ตรีฯ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐, ๘๓, ๙๐ ริบของกลาง จ่ายสินบนนำจับและเงินรางวัลตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ไม่ริบของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๒ มีความผิดฐานมีแร่เกิสองกิโลกรัมไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และเก็บแร่ไว้บนแพอันเป็นการฝ่าฝืนกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๙ (พ.ศ. ๒๕๑๗) ฯ การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานมีแร่เกินสองกิโลกรัมไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด คงปรับจำเลยที่ ๒ เป็นเงิน ๑๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท ริบแร่ของกลางและจ่ายเงินสินบนแก่ผู้นำจับ และเงินรางวัลแก่ผู้จับตามกฎหมายถ้าไม่ชำระค่าปรับให้กักขังเป็นเวลาสองปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ ฐานพยายามนำแร่ดีบุกซึ่งยังไม่ผ่านศุลกากรออกนอกราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกกระทงหนึ่ง
จำเลยที่ ๒ ฎีกาขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่าจำเลยที่ ๒ มีความผิดฐานมีแร่เกินสองกิโลกรัมไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและเก็บแร่ไว้โดยฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ และการกระทำของจำเลยที่ ๒ เป็นการพยายามลักลอบนำแร่ของกลางออกนอกราชอาณาจักรด้วยหรือไม่ สำหรับ ปัญหาแรกนั้น…ฯลฯ… กรณีจึงเชื่อได้ว่า แร่ดีบุกของกลางมิใช่เป็นแร่ที่จำเลยที่ ๒ ขุดได้ในเขตสัมปทานขององค์การเหมืองแร่ทางทะเล ยิ่งเมื่อพิจารณาประกอบคำนายเสรีและนายต้อยที่ยืนยันว่าได้เห็นคนจำนวนหนึ่งขนแร่จากป่าริมฝั่งที่อ่าวจิกลงเรือหางยาวไปไว้บนแพของกลางแล้ว คดีฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่ ๒ ได้จัดให้มีการขนแร่จากฝั่งอ่าวจิก จังหวัดพังงา ไปซุกซ่อนไว้ในแพของกลาง ซึ่งในการเก็บแร่ไว้ในแพของกลางโดยไม่ได้รับอนุญาตของจำเลยที่ ๒ เก็บไว้ในลักษณะปกปิดซ่อนเร้น สถานที่เก็บมีฝาปิดขันนอตอย่างแน่นหนาแล้วเอาไม้กระดานปิดทับและมีถังน้ำมันวางพรางตาไว้อีกชั้นหนึ่งการกระทำของจำเลยที่ ๒ จึงเป็นความผิดทั้งฐานมีแร่ดีบุกไว้ในครอบครองเกินกว่าสองกิโลกรัมโดยไม่ได้รับอนุญาต และเก็บแร่ในสถานที่เก็บแร่โดยไม่มีใบอนุญาต ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยที่ ๒ ในฐานนี้มานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ ๒ ฟังไม่ขึ้น ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่าการกระทำของจำเลยที่ ๒ เป็นความผิดฐานพยายามส่งแร่ออกนอกราชอาณาจักรด้วยการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากรหรือไม่ได้พิเคราะห์คำร้อยตรีณรงค์ แสงสุริยงค์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา ซึ่งทำหน้าที่ออกปราบปรามเกี่ยวกับการลักลอบนำแร่ออกนอกราชอาณาจักรมาตั้งแต่ยังเป็นปลัดจังหวัดภูเก็ตที่เบิกความอย่างน่าเชื่อถือรับฟังว่า จากประสบการณ์ที่ได้คลุกคลีกับผู้กระทำความผิดที่จะนำแร่ออกนอกราชอาณาจักร พอจะแยกได้เป็น ๔ วิธี วิธีหนึ่งในสี่วิธีก็คือนำแร่ที่แต่งแล้วไปซุกซ่อนไว้ในแพหรือเรือที่ดูดดำแร่ต่อมาก็จะนำเรือใหญ่มาบรรทุกแร่ที่ซุกซ่อนดังกล่าวนั้นส่งออกนอกราชอาณาจักร เหตุนี้การที่จำเลยที่ ๒ ขนแร่ดีบุกซึ่งแต่งและย่างแห้งแล้วโดยบรรจุไว้ในกระสอบน้ำหนักกระสอบละ ๔๐ กิโลกรัมเท่ากัน มีจำนวนถึง ๘๕๓ กระสอบ จากบนบกที่ฝั่งอ่าวจิกลงเรือหางยาวนำไปซุกซ่อนไว้ในลักษณะปกปิด และมีการกระทำเพื่อพรางการเก็บแร่ดีบุกเป็นอย่างดีบนแพซึ่งจอดอยู่กลางทะเลห่างจากฝั่งถึง ๒ กิโลเมตร ย่อมแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยที่ ๒ อย่างชัดแจ้งว่ากระทำไปเพื่อลักลอบส่งแร่ดีบุกออกนอกราชอาณาจักร ทั้งขณะที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบการกระทำผิดของจำเลยที่ ๒ และยึดแร่ดีบุกของกลางได้ จำเลยที่ ๒ ได้นำแร่ดังกล่าวออกจากชายฝั่งซึ่งเป็นราชอาณาจักรไทยไปในทะเลลึกมีระยะทางถึง ๒ กิโลเมตรแล้ว และแพของกลางก็มีเครื่องยนต์ถึง ๒ เครื่องซึ่งสามารถนำแร่ต่อไปยังเรือใหญ่เพื่อส่งออกนอกราชอาณาจักรได้โดยง่าย ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่เลยชั้นตระเตรียมการแล้ว กล่าวคือ จำเลยที่ ๒ ได้ลงมือนำแร่ดีบุกที่ยังมิได้เสียภาษีและเป็นของต้องจำกัดออกไปนอกพระราชอาณาจักรแล้วแต่กระทำไปไม่ตลอดเพราะต้องนำไปเก็บไว้บนแพกลางทะเลลึกเพื่อรอเรือใหญ่มาขนต่อไปอีกทอดหนึ่ง การกระทำของจำเลยที่ ๒ จึงเป็นความผิดฐานพยายามลักลอบนำแร่ดีบุกที่ยังมิได้เสียภาษีและเป็นของต้องห้ามต้องจำกัดออกไปนอกพระราชอาณาจักรแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาฐานนี้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น อนึ่งความผิดฐานพยายามลักลอบนำแร่ออกนอกราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๑๒๙, ๑๕๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๓ และพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗, ๑๐๒ ตรี เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท และการพิจารณาว่าบทกฎหมายใดเป็นบทหนักหรือเบา กว่ากันนั้น จะต้องพิเคราะห์จากอัตราโทษจำคุกปรากฏว่าโทษจำคุกตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๑๕๒ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๓กับโทษจำคุกตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๑๐๒ ตรีนั้น มีอัตราโทษสูงสุดเท่ากันคือจำคุกไม่เกิน ๑๐ ปี แต่ความผิดฐานพยายามลักลอบนำแร่ออกนอกราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ มาตรา ๒๗ มีอัตราโทษเท่ากับการทำความผิดสำเร็จ ดังนั้น โทษจำคุกตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ ดังกล่าวจึงหนักกว่าโทษจำคุกตามพระราชบัญญัติแร่ฯ
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๒ มีความผิดฐานพยายามลักลอบนำแร่ออกนอกราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๑๒๙, ๑๕๒ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๓ และพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗, ๑๐๒ ตรีลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗, ๑๐๒ ตรี ซึ่งเป็นบทหนัก อีกกระทงหนึ่ง ให้ปรับจำเลยที่ ๒ เป็นจำนวนสี่เท่าของราคาของเป็นเงิน ๒๘,๐๐๘,๖๗๓.๔๐ บาท รวมลงโทษปรับจำเลยที่ ๒ จำนวน ๔๓,๐๐๘,๖๗๓.๔๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ หากกักขังแทนให้กักขังมีกำหนด ๒ ปีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์