แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พยานโจทก์เบิกความชั้นพิจารณาว่าจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้ลักทรัพย์ซึ่งขัดต่อเหตุผล เห็นเจตนาได้ชัดว่าพยานโจทก์เบิกความช่วยเหลือจำเลยมิให้รับโทษศาลย่อมฟังข้อเท็จจริงตามคำให้การโจทก์ในชั้นสอบสวนซึ่งสมเหตุผลยิ่งกว่าได้
แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานเห็นจำเลยกระทำผิด แต่จำเลยให้การรับสารภาพมาตั้งแต่ชั้นจับกุม ชั้นสอบสวน นำชี้ที่เกิดเหตุแสดงการลักทรัพย์ประกอบกับคำพยานโจทก์และพฤติการณ์แวดล้อมแล้ว ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์ของผู้เสียหาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยลักยางพาราซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกสิกรรม มิได้กล่าวในฟ้องว่า เป็นยางพาราของเจ้าทรัพย์ผู้มีอาชีพกสิกรรม ขาดองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ.มาตรา 335 (12) จึงลงโทษจำเลยตามบทกฎหมายดังกล่าวไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๓๓๔, ๓๓๕ (๑) (๘) (๑๒), ๓๓๖ ทวิ ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน๙๖๐ บาท แก่ผู้เสียหาย นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่๑๑๓๑/๒๕๔๐ และ ๑๑๓๒/๒๕๔๐ ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๕ (๑) (๗) (๘) (๑๒) วรรคสาม, ๓๓๖ ทวิ จำคุก ๓ ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก ๒ ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาแทนทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน ๙๖๐ บาทแก่ผู้เสียหาย นับโทษจำคุกต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๙๕๐/๒๕๔๑ และ๙๕๑/๒๕๔๑ ของศาลชั้นต้น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน ๗๒๐ บาท แก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า วันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องมีคนร้ายลักยางพารา ๒๐ แผ่น ของผู้เสียหายไป มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายหรือไม่ เห็นว่า หลังจากที่ผู้เสียหายแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจและแจ้งนายอาแซ มามะ ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าพนักงานตำรวจและนายอาแซสืบสวนทราบว่าจำเลยกับนายอัมตอเลาะ นิยาหรือปียา และนายมะ ไม่ทราบนามสกุล ลักทรัพย์ของผู้เสียหาย โดยใช้รถยนต์กระบะของนายลาลิ เปาะและ เป็นยานพาหนะเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้โดยโจทก์มีสิบตำรวจเอกคำนึง สมุทรจินดา เป็นพยานว่า จับจำเลยตามหมายจับ จำเลยวิ่งหนีแต่หนีไม่พ้น จำเลยรับสารภาพว่าลักยางพาราผู้เสียหาย ตามหลักฐานบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.๑๔ ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพและนำชี้ที่เกิดเหตุ โดยโจทก์มีร้อยตำรวจโทฎีกาวุฒิ จุลถาวร และร้อยตำรวจเอกสมพล แก่งกระจาย พนักงานสอบสวนเบิกความเป็นพยานว่า จำเลยรับสารภาพโดยสมัครใจ มีเอกสารบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนจำเลย บันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.๑๗ และ จ.๑๘ เป็นหลักฐานข้อเท็จจริงตามที่สืบสวนทราบว่า จำเลยกับพวกใช้รถยนต์กระบะของนายลาลิเป็นยานพาหนะในการลักทรัพย์ ตรงตามที่จำเลยให้การรับสารภาพ ทั้งนายอาแซผู้ใหญ่บ้านยังยึดรถยนต์กระบะคันนี้มอบให้พนักงานสอบสวนเป็นของกลาง นายลาลิพยานโจทก์เบิกความว่า นายอัมตอเลาะเป็นน้องของภริยา เป็นคนนำรถยนต์กระบะของพยานไป ทั้งนายลาลิและนายอาแซให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า จำเลยและนายอัมตอเลาะยอมรับกับพยานทั้งสองว่าลักยางพาราของผู้เสียหาย จะใช้ค่าเสียหายให้และให้การว่านายอาแซเป็นคนยึดรถยนต์กระบะ การที่พยานโจทก์ทั้งสองคนนี้เบิกความชั้นพิจารณาว่า จำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้ลักทรัพย์ ขัดต่อเหตุผล หากเป็นความจริงแล้ว ในชั้นแรกจะให้การต่อพนักงานสอบสวนเช่นนั้นได้อย่างไร และจะยึดรถยนต์นั้นมาด้วยเหตุใด เห็นเจตนาได้ชัดว่า เบิกความช่วยเหลือจำเลยมิให้รับโทษศาลฟังข้อเท็จจริงตามคำให้การชั้นสอบสวนซึ่งสมเหตุผลยิ่งกว่าได้ คดีนี้แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานเห็นจำเลยกระทำผิด แต่จำเลยให้การรับสารภาพมาตั้งแต่ชั้นจับกุมชั้นสอบสวน นำชี้ที่เกิดเหตุแสดงการลักทรัพย์ประกอบกับคำพยานและพฤติการณ์แวดล้อมแล้ว ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์ของผู้เสียหาย แต่ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑๒) ด้วยนั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยลักยางพาราซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกสิกรรม มิได้กล่าวในฟ้องว่า เป็นยางพาราของเจ้าทรัพย์ผู้มีอาชีพกสิกรรม ขาดองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑๒) จะลงโทษตามบทกฎหมายดังกล่าวไม่ได้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๕ (๑) (๗) (๘) วรรคสาม ประกอบด้วยมาตรา ๓๓๖ ทวิ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓.