คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1428/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ใบสำคัญการรับเงินค่าชดเชยเอกสารหมาย ล.2 โจทก์เป็นผู้ทำและกรอกข้อความเองทั้งหมดพอตีความในเนื้อความดังกล่าวได้ว่าโจทก์มีเจตนายอมรับในการที่จำเลยเลิกจ้างและค่าชดเชยที่จำเลยเสนอให้ แม้เอกสารหมาย ล.2 ไม่มีข้อความว่าโจทก์ยอมสละสิทธิเรียกเงินไว้ก็ตาม แต่ที่โจทก์ยอมทำเอกสารหมาย ล.2 ตามข้อเสนอของจำเลยย่อมตีเจตนาของโจทก์ได้ว่า โจทก์ยอมรับค่าชดเชยที่จำเลยเสนอและโจทก์ยอมสละสิทธิเรียกร้องเงินอื่นอีก และการแถลงรับข้อเท็จจริงตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลแรงงาน ซึ่งโจทก์รับว่าได้รับเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์ไม่โต้เถียงเกี่ยวกับการสละสิทธิเรียกร้องเงินอื่นใดจากจำเลยอีกตามที่จำเลยอ้าง แสดงว่าข้อกล่าวอ้างของจำเลยดังกล่าวนั้นมีจริง เมื่อโจทก์ไม่ปฏิเสธโดยชัดแจ้ง ต้องถือว่าโจทก์ยอมรับนั้นศาลแรงงานได้วินิจฉัยแล้วว่าเอกสารหมาย ล.2ไม่ปรากฏข้อความว่าโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องเงินอื่นใดจากจำเลยทั้งสิ้นดังที่จำเลยให้การ แม้โจทก์จะแถลงรับว่าโจทก์ได้รับเงินค่าชดเชยตามที่จำเลยจ่าย 3 เดือน โดยคำนวณจากอัตราค่าจ้างเดือนละ 10,224 บาท ก็ไม่อาจถือได้ว่าโจทก์สละสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยส่วนที่ขาดและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า อุทธรณ์จำเลยดังกล่าวจึงเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงาน เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104 บัญญัติให้ศาลมีอำนาจเต็มในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่ แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้นซึ่งบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวอนุโลมใช้กับคดีแรงงานด้วยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 31 ดังนี้การที่ศาลแรงงานสอบข้อเท็จจริงจากคู่ความประกอบเอกสารในวันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์แล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงที่คู่ความแถลงรับเพียงพอที่จะฟังเป็นยุติและพอวินิจฉัยได้แล้วจึงสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยคดีตามที่คู่ความรับกันถือได้ว่าศาลแรงงานได้ใช้ดุลพินิจวิเคราะห์พยานหลักฐานในการรับฟังข้อเท็จจริงคดีนี้เป็นการชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2538 จำเลยรับโจทก์เข้าทำงาน ตำแหน่งเจ้าหน้าที่การเงินได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 12,780 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 28 ของเดือน ต่อมาวันที่ 31 มีนาคม 2541 จำเลยเลิกจ้างโจทก์อ้างว่าเศรษฐกิจไม่ดี และจำเลยประสบภาวะขาดทุนโดยโจทก์ไม่มีความผิดและไม่บอกกล่าวล่วงหน้าตามกฎหมาย นอกจากนี้จำเลยจ่ายค่าจ้างในเดือนมีนาคม 2541 ให้โจทก์เพียง 10,224 บาท คงค้างอยู่ 2,556 บาท ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย38,340 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 24,708 บาท และค่าจ้างค้าง 2,556 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เคยเป็นลูกจ้างของจำเลย ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 10,224 บาทกำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือนจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะจำเลยประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอยโจทก์ตกลงยินยอมให้จำเลยเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องเงินอื่นใดนอกจากค่าชดเชย3 เดือนของค่าจ้างอัตราสุดท้าย และโจทก์ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงว่า จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2538 ตำแหน่งหน้าที่การเงินกำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน ต่อมาวันที่31 มีนาคม 2541 จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเศรษฐกิจไม่ดี ประกอบกับจำเลยขาดทุนตามเอกสารหมาย ล.1
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า แม้โจทก์เป็นผู้จัดทำใบสำคัญการรับเงินเอกสารหมาย ล.2แต่เอกสารดังกล่าวไม่ปรากฏข้อความว่า โจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องเงินอื่นใดจากจำเลยดังที่จำเลยให้การ แม้โจทก์จะแถลงรับว่าโจทก์ได้รับค่าชดเชยตามที่จำเลยจ่าย 3 เดือน โดยคำนวณจากค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 10,224 บาท ก็ไม่อาจถือได้ว่าโจทก์สละสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยส่วนที่ขาดและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า การที่จำเลยจ่ายค่าชดเชยโดยไม่คำนวณจากค่าจ้างอัตราสุดท้ายที่โจทก์มีสิทธิได้รับเดือนละ 12,780 บาท จึงไม่ชอบ พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างที่ค้าง 2,556 บาท ค่าชดเชยส่วนที่ขาด 7,668 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า12,780 บาทแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ใบสำคัญการรับเงินค่าชดเชยเอกสารหมาย ล.2 โจทก์เป็นผู้ทำและกรอกข้อความเองทั้งหมดพอตีความในเนื้อความดังกล่าวได้ว่า โจทก์มีเจตนายอมรับในการที่จำเลยเลิกจ้างและค่าชดเชยที่จำเลยเสนอให้ โดยคำนวณจากค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 10,224 บาท แม้เอกสารหมาย ล.2ไม่มีข้อความว่าโจทก์ยอมสละสิทธิเรียกเงินไว้ก็ตาม แต่ที่โจทก์ยอมทำเอกสารหมาย ล.2 ตามข้อเสนอของจำเลยย่อมตีเจตนาของโจทก์ได้ว่า โจทก์ยอมรับค่าชดเชยที่จำเลยเสนอให้โดยคำนวณจากค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 10,224 บาท และโจทก์ยอมสละสิทธิเรียกร้องเงินอื่นอีก และการแถลงรับข้อเท็จจริงตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลแรงงานกลาง ลงวันที่ 17 กรกฎาคม 2541ซึ่งโจทก์รับว่าได้รับเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์ไม่โต้เถียงเกี่ยวกับการสละสิทธิเรียกร้องเงินอื่นใดจากจำเลยอีกตามที่จำเลยอ้าง แสดงว่าข้อกล่าวอ้างของจำเลยดังกล่าวนั้นมีจริงเมื่อโจทก์ไม่ปฏิเสธโดยชัดแจ้งต้องถือว่าโจทก์ยอมรับเห็นว่า ประเด็นนี้ศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยแล้วว่าเอกสารหมาย ล.2 ไม่ปรากฏข้อความว่าโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องเงินอื่นใดจากจำเลยทั้งสิ้นดังที่จำเลยให้การ แม้โจทก์จะแถลงรับว่าโจทก์ได้รับเงินค่าชดเชยตามที่จำเลยจ่าย 3 เดือน โดยคำนวณจากอัตราค่าจ้างเดือนละ 10,224 บาท ก็ไม่อาจถือได้ว่าโจทก์สละสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยส่วนที่ขาดและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า อุทธรณ์จำเลยดังกล่าวจึงเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า การที่ศาลแรงงานกลางสอบถามข้อเท็จจริงจากโจทก์จำเลยและสั่งงดสืบพยานแล้วพิพากษาไปเป็นการมิชอบด้วยวิธีพิจารณา เนื่องจากตามคำให้การจำเลยมีประเด็นที่อาจนำสืบได้ถึงข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลย ซึ่งหากจำเลยมีโอกาสนำสืบพยานได้แล้วจำเลยอาจไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามฟ้องนั้น เห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 104บัญญัติให้ศาลมีอำนาจเต็มในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่ แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้นซึ่งบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวอนุโลมใช้กับคดีแรงงานด้วยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 การที่ศาลแรงงานกลางสอบข้อเท็จจริงจากคู่ความประกอบเอกสารในวันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ เมื่อเห็นว่าข้อเท็จจริงที่คู่ความแถลงรับเพียงพอที่จะฟังเป็นยุติและพอวินิจฉัยได้แล้วจึงสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยคดีตามที่คู่ความรับกัน ถือได้ว่าศาลแรงงานกลางได้ใช้ดุลพินิจวิเคราะห์พยานหลักฐานในการรับฟังข้อเท็จจริงคดีนี้เป็นการชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความ ศาลแรงงานกลางพิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share