แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
บุพการีของโจทก์ โจทก์ และบุคคลในครอบครัวและบุคคลข้างเคียงได้เดินผ่านที่ดินของจำเลยออกสู่ทางสาธารณะมาเกินกว่า 10 ปี แม้เดิมโจทก์เดินทางด้านทิศเหนือผ่านบ้านของจำเลย แต่ต่อมาจำเลยไม่ให้โจทก์เดินผ่านทางด้านดังกล่าว โจทก์จึงหันมาเดินทางพิพาท ก็มิทำให้ภาระจำยอมของโจทก์หมดไป การที่จำเลยไม่ให้โจทก์เดินทางด้านทิศเหนือซึ่งเป็นทางเดินดั้งเดิม ถือได้ว่าจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์เรียกให้โจทก์ย้ายไปใช้ทางภาระจำยอมส่วนอื่นของที่ดินของจำเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1392 โจทก์จึงได้ภาระจำยอมในทางพิพาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 1003 โดยปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินดังกล่าว จำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 551 ที่ดินของโจทก์ดังกล่าวทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันตกติดต่อกับที่ดินของจำเลย ที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมรอบไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ บุพการีของโจทก์ โจทก์และชาวบ้านได้ใช้ทางเดินผ่านที่ดินของจำเลยกว้าง 1.50 เมตร ยาว 49.28 เมตร และกว้าง 1.50 เมตร ยาว 30.54 เมตร โดยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาที่จะใช้ทางดังกล่าวเป็นทางภาระจำยอมมากกว่า 60 ปีแล้ว ทางดังกล่าวจึงตกเป็นทางจำเป็นและทางภาระจำยอมตามกฎหมาย ต่อมาจำเลยนำเสาและไม้มาปิดกั้นทางเดินดังกล่าวทำให้โจทก์และบริวารไม่สามารถใช้ทางออกสู่ทางสาธารณะได้ ขอให้พิพากษาว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นและทางภาระจำยอมโจทก์และบริวารที่พักอาศัยอยู่ในที่ดิน น.ส.3 ก เลขที่ 1003 ตำบลแม่พูน อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ มีสิทธิใช้ทางพิพาทได้ และให้จำเลยรื้อถอนเสาและไม้ที่ปิดกั้นทางพิพาท ถ้าจำเลยไม่รื้อถอนให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนเองโดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนให้จำเลยไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็น และหรือทางภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดิน น.ส.3 ก เลขที่ 1003 ตำบลแม่พูน อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ของโจทก์ ถ้าจำเลยไม่กระทำให้เอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์และชาวบ้านรวมทั้งปู่ย่าตายายของโจทก์เพียงแต่เดินผ่านที่ดินของจำเลยเป็นบางครั้งบางคราว ทั้งนี้เพราะโจทก์ใช้ทางเข้าออกทางด้านทิศตะวันออกของที่ดินโจทก์เดินลัดเลาะมาตามแนวลำคลองแม่พร่องทางด้านทิศเหนือและเมื่อสุดเขตที่ดินของโจทก์แล้วโจทก์จะเดินข้ามลำคลองแม่พร่องลัดเลาะลำคลองมาทางด้านทิศเหนือแล้วเดินข้ามลำคลองแม่พร่องเพื่อกลับมาอีกครั้งหนึ่งเพื่อเดินผ่านที่ดินของคนอื่นออกสู่ทางสาธารณประโยชน์ ส่วนทางพิพาทโจทก์เพิ่งถือวิสาสะเดินผ่านประมาณ 1 ปีเศษ มีความกว้างเพียงช่วงละ 1 เมตร หากฟังว่าที่ดินของจำเลยตกเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ โจทก์ต้องชำระเงินค่าทดแทน 50,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยทางด้านทิศตะวันตกกว้าง 1.50 เมตร และทางที่ขนานกับลำเหมืองกว้าง 1.50 เมตร ความยาวของทางพิพาทในแต่ละช่วงนั้นให้เป็นไปตามความเป็นจริงที่โจทก์ใช้ตามรูปแผนที่เอกสารหมาย จ.12 ตกเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1003 ตำบลแม่พูน อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ให้จำเลยรื้อถอนเสาและไม้ที่ปิดกั้น เปิดทางภาระจำยอม และให้จำเลยจดทะเบียนทางภาระจำยอมดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานที่ดิน หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็น ยกคำขอให้จำเลยไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1003 ส่วนจำเลยเป็นเจ้าของและครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 551 ที่ดินโจทก์ด้านทิศเหนือและทิศตะวันตกติดกับที่ดินของจำเลยทิศตะวันออกจดลำคลองแม่พร่อง ทิศใต้จดที่ดินของนางจิตติมาทำให้ที่ดินโจทก์ไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ บุพการีของโจทก์ โจทก์และทายาทรวมทั้งบุคคลข้างเคียงได้อาศัยที่ดินของจำเลยเดินออกไปสู่ทางสาธารณะมาเป็นเวลากว่า 10 ปี โดยแต่เดิมได้เดินทางด้านทิศเหนือผ่านบ้านของจำเลย ต่อมาจำเลยไม่ให้โจทก์เดินผ่านทางดังกล่าว โจทก์จึงมาใช้ทางเดินทางด้านทิศตะวันตกผ่านที่ดินของจำเลย ที่ดินของนายจำเนียรผ่านที่ดินของนางสมหมายขึ้นไปทางทิศเหนือเดินเลียบทางเดินติดกับลำเหมืองออกสู่ทางสาธารณะตามแผนที่สังเขปเอกสารหมาย จ.12 ต่อมาวันที่ 7 พฤษภาคม 2544 จำเลยนำเสาและไม้มาปิดกั้นทางดังกล่าว
มีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ทางพิพาทตามแผนที่สังเขปเอกสารหมาย จ.12 เป็นทางภาระจำยอมหรือไม่ เห็นว่า ที่ดินโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ จะต้องเดินผ่านที่ดินของจำเลย ข้อเท็จจริงปรากฏว่าบุพการีของโจทก์ โจทก์ และบุคคลในครอบครัวและบุคคลข้างเคียงได้เดินผ่านที่ดินของจำเลยออกสู่ทางสาธารณะมาเกินกว่า 10 ปี เนื่องจากโจทก์ไม่มีทางเดินออกสู่ทางสาธารณะทางอื่นได้ ดังนั้นการที่โจทก์เดินผ่านที่ดินของจำเลยจะต้องแสดงโดยแจ้งชัดว่าประสงค์จะได้การครอบครองอย่างทางภาระจำยอม เพราะถึงอย่างไรโจทก์ไม่มีทางออกทางอื่นได้ แม้จะได้ความว่าแต่เดิมโจทก์เดินทางด้านทิศเหนือผ่านบ้านของจำเลย แต่ต่อมาจำเลยไม่ให้โจทก์เดินผ่านทางด้านดังกล่าว โจทก์หันมาเดินทางพิพาทก็มิทำให้ภาระจำยอมของโจทก์หมดไปแต่อย่างใด การที่จำเลยไม่ให้โจทก์เดินทางด้านทิศเหนือซึ่งเป็นทางเดินดั้งเดิมมานั้น ถือได้ว่าจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์เรียกให้โจทก์ย้ายไปใช้ทางภาระจำยอมส่วนอื่นของที่ดินของจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1392 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ