คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1083/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ปัญหาว่าคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการปิดอากรแสตมป์ไม่ครบ จึงใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ถึงแม้จำเลยมิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างในศาลชั้นต้นก็ยังยกขึ้นอ้างอิงในชั้นฎีกาได้
โจทก์บรรยายฟ้องเป็นใจความว่า อนุญาโตตุลาการได้มีคำสั่งชี้ขาดแล้วดังสำเนาคำชี้ขาดพร้อมด้วยคำแปลท้ายฟ้อง จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่าคำชี้ขาดนี้ขัดต่อกฎหมายไทย เป็นการยอมรับแล้ว่ามีคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการดังสำเนาที่โจทก์แนบมาท้ายฟ้องจริง ไม่มีประเด็นที่โจทก์จะต้องนำสืบแสดงว่ามีคำชี้ขาดดังกล่าวอีก ดังนั้น จึงจะฟังว่าต้นฉบับปิดอากรแสตมป์ไม่ครบก็ไม่เป็นเหตุที่จะยกฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำหนังสือตกลงซื้อนุ่นกับตัวแทนของจำเลย สัญญาว่าถ้ามีข้อพิพาทเกิดขึ้นจะนำข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการที่นครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกาเป็นผู้ชี้ขาดต่อมาบริษัทจำเลยไม่ส่งนุ่นให้แก่โจทก์ จึงได้นำข้อพิพาทเสนอต่ออนุญาโตตุลาการที่นครนิวยอร์ค อนุญาโตตุลาการได้มีคำสั่งชี้ขาดให้จำเลยใช้เงิน ๒๙,๓๒๑.๑๘ ดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาแก่โจทก์ และให้โจทก์จำเลยชำระค่าธรรมเนียมเป็นเงิน ๘๐๖.๗๙ ดอลล่าร์ คนละครึ่งโจทก์ได้ชำระค่าธรรมเนียม ๔๐๓.๓๙ ดอลล่าร์แทนจำเลยแล้ว จำเลยจึงต้องชำระเงินแก่โจทก์รวม ๒๙,๗๒๔.๕๗ ดอลล่าร์ คิดเป็นเงินไทย ๖๐๑,๙๒๒.๕๕ บาท ขอให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวกับดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องรวม ๖๒๙,๗๔๔.๗๕ บาท และดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การต่อสู้ว่าหนังสือมอบอำนาจไม่ใช่หนังสือมอบอำนาจที่แท้จริง โจทก์เข้าใจสัญญาผิดจึงมอบให้อนุญาโตตุลาการอเมริกันชี้ขาด คำแปลสัญญาไม่ถูกต้อง โจทก์ไม่ได้เสียหายตามฟ้อง จำเลยมิได้ตกลงยอมให้โจทก์เสนอข้อพิพาทตามฟ้องต่ออนุญาโตตุลาการ คำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการขัดต่อกฎหมายใช้บังคับไม่ได้ ประเทศไทยไม่ได้ เป็นภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยการยอมรับนับถือ และใช้บังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการต่างประเทศ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๖๐๑,๙๒๒ บาท ๕๕ สตางค์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตั้งแต่วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๑๘ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าเนื่องจากคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเป็นตราสารตามข้อ ๒๒ (ก) ของบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายหมวด ๖ แห่งประมวลรัษฎากร และอยู่ในบังคับแห่งมาตรา ๑๑๑ ที่จะต้องปิดอากรแสตมป์จึงจะใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้ เมื่อคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการคดีนี้ปิดอากรแสตมป์ไม่ครบ จึงจะใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้ตามมาตรา ๑๑๘ เห็นว่าปัญหาข้อนี้เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ถึงแม้จำเลยมิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างในศาลชั้นต้น ก็ยังยกขึ้นอ้างอิงในชั้นฎีกาได้ก็ตาม แต่โจทก์ก็ได้บรรยายฟ้องเป็นใจความว่า อนุญาโตตุลาการได้มีคำสั่งชี้ขาดแล้ว ดังสำเนาคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการพร้อมด้วยคำแปลเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๔ จำเลยให้การต่อสู้เกี่ยวกับคำวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการที่โจทก์แนบสำเนาท้ายฟ้องแต่เพียงว่า คำชี้ขาดนี้ขัดต่อกฎหมายไทยเพราะมิได้กล่าวหรือแสดงสิ่งต่อไปนี้ ๑. รายการของคดีว่าโจทก์กล่าวหาอย่างไรบ้าง โดยอาศัยสัญญาอะไร และเรียกร้องอะไรจากจำเลย ๒. ข้อเท็จจริงอะไรบ้างที่เชื่อหรือไม่เชื่อ เชื่อด้วยเหตุผลอะไร ๓. ประเด็นแห่งคดีมีอะไรบ้างและอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยประเด็นเหล่านั้นว่าอย่างไร คำให้การของจำเลยดังกล่าวเป็นการยอมรับแล้วว่ามีคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการดังสำเนาที่โจทก์แนบมาท้ายฟ้องจริง ไม่มีประเด็นที่โจทก์จะต้องนำมาสืบแสดงว่ามีคำชี้ขาดดังกล่าวอีก ส่วนข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยจะฟังได้หรือไม่เพียงใดนั้น ศาลย่อมพิจารณาจากสำเนาคำชี้ขาดพร้อมด้วยคำแปล ซึ่งโจทก์ได้แนบมาท้ายฟ้องได้ เพราะเอกสารท้ายฟ้องถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งแห่งคำฟ้อง ดังนั้น ถึงจะฟังว่าต้นฉบับปิดอากรแสตมป์ไม่ครบก็ไม่เป็นเหตุที่จะยกฟ้อง
พิพากษายืน

Share