แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 22 เมษายน 2556 ขอขยายระยะเวลานำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาตามคำสั่งศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2552 ที่ให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายใน 30 วัน โดยอ้างว่าจำเลยไม่สามารถหาเงินได้ทัน และผู้มีชื่อนัดช่วยเหลือจำเลย
ทั้ง ๆ ที่กำหนดเวลาให้จำเลยชำระเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาตามคำสั่งศาลชั้นต้นได้ล่วงพ้นไปแล้วประมาณ 4 ปีเศษ อันเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ และเกิดขึ้นจากความผิดพลาดของจำเลยเองมิใช่พฤติการณ์พิเศษหรือเหตุสุดวิสัยที่ศาลจะสั่งขยายระยะเวลาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งอนุญาตขยายเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาตามคำขอของจำเลย และจำเลยได้นำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาชำระภายในกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นขยายก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาที่ชอบด้วยกฎหมายอันจะรับไว้พิจารณาได้ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 877,656 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 743,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระจนครบ
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 877,656 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 743,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 24 ธันวาคม 2546) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 23750 ตำบลบางยาง อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระแก่โจทก์จนครบ ให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนด ค่าทนายความรวม 5,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ความปรากฏว่า จำเลยยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 พร้อมกับยื่นคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2552 ให้ยกคำร้อง หากจำเลยประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระภายใน 30 วัน นับแต่วันนี้ จำเลยอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลอุทธรณ์ภาค 7 ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของจำเลยพอถือได้ว่าเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกา ซึ่งจำเลยจะต้องยื่นต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 (เดิม) การที่จำเลยยื่นต่อศาลอุทธรณ์ภาค 7 จึงไม่ชอบ ให้ยกคำร้อง จำเลยฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 7 เป็นที่สุด จึงไม่รับฎีกา จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งยกคำร้อง ต่อมาวันที่ 6 มิถุนายน 2555 จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งให้ยกคำร้อง ครั้นวันที่ 22 เมษายน 2556 จำเลยได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาชำระค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต และรับฎีกาของจำเลยเห็นว่า ขณะศาลฎีกามีคำสั่งยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย นั้น กำหนดระยะเวลาของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกามาชำระภายใน 30 วัน นับแต่วันนี้ ซึ่งก็คือวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งวันที่ 28 มกราคม 2552 นั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 7 และศาลฎีกามีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย โดยมิได้กำหนดเวลาที่ให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกามาชำระเช่นนี้ จำเลยก็ชอบที่จะขอให้ศาลชั้นต้นกำหนดเวลาให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกามาชำระต่อศาลชั้นต้นได้ และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจกำหนดระยะเวลาดังกล่าวให้แก่จำเลยได้ อันเป็นอำนาจทั่วไปของศาลชั้นต้น แต่จำเลยกลับมาดำเนินกระบวนพิจารณา โดยยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกาของจำเลยต่อศาลฎีกาอีก และเมื่อศาลฎีกามีคำสั่งยกคำร้องจำเลยก็หวนกลับมายื่นคำร้องลงวันที่ 22 เมษายน 2556 ขอขยายระยะเวลานำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาตามคำสั่งศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2552 ที่ให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมศาลดังกล่าวมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายใน 30 วัน โดยอ้างว่าจำเลยไม่สามารถหาเงินได้ทัน และผู้มีชื่อ นัดช่วยเหลือจำเลยภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม 2556 ทั้ง ๆ ที่ในขณะนั้นกำหนดเวลาที่ให้จำเลยชำระเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาตามคำสั่งศาลชั้นต้นได้ล่วงพ้นไปแล้วประมาณ 4 ปีเศษ อันเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ และเกิดขึ้นจากความผิดพลาดของจำเลยเอง มิใช่พฤติการณ์พิเศษหรือเหตุสุดวิสัยที่ศาลจะสั่งขยายระยะเวลาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งอนุญาตขยายเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาตามคำขอของจำเลย และจำเลยได้นำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาชำระภายในกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นขยายก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาที่ชอบด้วยกฎหมายอันจะรับไว้พิจารณาได้ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247
พิพากษายกฎีกาของจำเลย คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นนอกจากนี้ให้เป็นพับ