คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1078/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยฎีกาโดยคัดถ่ายภาพคำคู่ความและเอกสารต่าง ๆที่มีการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวรวมทำเป็นคำฟ้องฎีกา และกล่าวอ้างในฎีกาแต่เพียงว่าจำเลยเป็นบิดาที่ดีของบุตรได้ชำระค่าอาหารและค่าเล่าเรียนให้บุตร บุตรจึงควรอยู่ในอำนาจปกครองดูแลของจำเลยจำเลยมิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ว่าไม่ถูกต้องอย่างไร ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาฯมาตรา 124 ประกอบมาตรา 6 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยาจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย เมื่อปี 2539 จำเลยทุบตีด่าว่าโจทก์และด่าว่ามารดาโจทก์ซึ่งอาศัยอยู่ด้วยว่า “อีสัตว์นรก ทำบุญบังหน้า ไปวัดก็ไปนอนกับพระอีเหี้ย อีสันดานหมา มึงมีญาติวงศ์ตระกูลเท่าไรให้ขนมาสู้กับกู” และยังด่าและกล่าวหาว่าโจทก์มีชู้เป็นคนชั่ว ทำให้มารดาโจทก์ไม่สามารถอยู่ด้วยได้ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2542 จำเลยด่าโจทก์ต่อหน้าบุตรทั้งสองและชาวบ้านว่า “อีเหี้ย อีสัตว์ อีสันดานหมา อีกะหรี่ในคราบเครื่องแบบ กูจะตีทรมานมึงให้ตายด้วยมือตีนกู น้ำหน้าอย่างมึงจะมีใครช่วยมึงได้ อีขี้ข้า” และกล่าวหาว่าโจทก์มีชู้ ทำให้โจทก์อับอายขายหน้าพฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นการไม่ให้เกียรติโจทก์ดังเช่นสามีภริยาพึงปฏิบัติต่อกันอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงโจทก์ไม่ประสงค์จะอยู่กินเป็นภริยาจำเลยอีกต่อไป ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่ากัน ให้แบ่งสินสมรสให้โจทก์กึ่งหนึ่ง และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองคนแต่เพียงผู้เดียว

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยหาเรื่องทุบตีทำร้ายร่างกายและจิตใจโจทก์เพียงแต่เคยใช้มือฟาดหัวไหล่โจทก์เนื่องจากมีปากเสียงกันเล็กน้อย โจทก์เคยบันดาลโทสะใช้มีดบางขนาดเล็กขว้างจำเลยถูกส้นเท้าเป็นบาดแผล จำเลยเคารพนับถือมารดาโจทก์ แต่เคยมีปากเสียงกันบ้างเล็กน้อย เนื่องจากมารดาโจทก์ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวระหว่างโจทก์กับจำเลยมากเกินควร โจทก์เป็นฝ่ายแยกห้องนอนไม่ร่วมหลับนอนและไม่พูดจากับจำเลยดังเช่นสามีภริยาทั่วไป จำเลยอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองและดูแลชำระค่าใช้จ่ายในครอบครัวตลอดมา ขอให้อยู่ในดุลพินิจของศาล

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่ากัน ให้แบ่งสินสมรสตามฟ้องแก่โจทก์และจำเลยฝ่ายละกึ่งหนึ่ง ถ้าแบ่งไม่ได้หรือการแบ่งจะทำให้เสียหายมากนักให้ขายโดยประมูลราคาระหว่างโจทก์จำเลยหรือขายทอดตลาด ให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองนายก้องพงศ์ไชยรัตน์ และเด็กหญิงกฤตยาพร ไชยรัตน์ บุตรผู้เยาว์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิจารณาแล้วเห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลยมิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นกล่าวอ้างโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยชัดแจ้งเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 121ไม่รับวินิจฉัยคดีให้พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาโดยเพียงแต่คัดถ่ายภาพคำคู่ความและเอกสารต่าง ๆ ในคดีนี้ที่มีการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวรวมทำเป็นคำฟ้องฎีกา และกล่าวอ้างในฎีกาแต่เพียงว่าจำเลยเป็นบิดาที่ดีของบุตรได้ชำระค่าอาหารและค่าเล่าเรียนให้บุตร บุตรควรอยู่ในอำนาจปกครองดูแลของจำเลย จำเลยมิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวว่ามิชอบหรือมิถูกต้องอย่างไร เพื่อที่ศาลฎีกาจะได้ทราบรายละเอียดว่าจำเลยติดใจฎีกาโต้แย้งในปัญหาใดบ้าง ดังนั้น ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 124ประกอบมาตรา 6 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวไม่รับวินิจฉัยให้”

พิพากษายกฎีกาของจำเลย

Share