แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฎีกาของจำเลยทั้งสองล้วนคัดลอกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองแบบคำต่อคำ เว้นแต่มีการแก้ไขชื่อของศาลจากศาลอุทธรณ์ภาค 4 เป็นศาลฎีกา เพื่อให้ตรงตามความจริงเท่านั้น ฎีกาของจำเลยทั้งสอง จึงมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ว่าไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนอย่างไร และควรวินิจฉัยอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินครึ่งหนึ่งและขอให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมจดทะเบียนโอนที่ดิน ระหว่างจำเลยทั้งสองเฉพาะส่วนของโจทก์สองในสามส่วน จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้อง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142 ปัญหาดังกล่าวเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246, 247
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 40429 และที่ดินโฉนดเลขที่ 20409 ตำบลพิมาน อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 และให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินโฉนดเลขที่ 40429 ให้แก่โจทก์ ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 20409 นั้น ให้จำเลยที่ 1 โอนให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาและให้จำเลยที่ 1 แบ่งที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1156 ตำบลพิมาน อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ให้แก่โจทก์หนึ่งในหกส่วน หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 40429 เลขที่ดิน 122 และโฉนดเลขที่ 20409 เลขที่ดิน 27 ตำบลพิมาน อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนนิติกรรมจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 20409 เลขที่ดิน 27 ตำบลพิมาน อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ระหว่างจำเลยทั้งสองเฉพาะส่วนของโจทก์สองในสามส่วน ให้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน แปลงแรก โฉนดเลขที่ 40429 เลขที่ดิน 122 เนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 2 ตารางวา กับแปลงที่สอง โฉนดเลขที่ 20409 เลขที่ดิน 27 เนื้อที่ 1 งาน 9 ตารางวา ที่ดินทั้งสองแปลงตั้งอยู่ที่ตำบลพิมาน อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม และมีราคาประเมินไร่ละ 44,000 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสังหรือสังข์โอนให้แก่จำเลยที่ 2 และขอให้มีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 แบ่งที่ดินแปลงที่สาม ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1156 เนื้อที่ 17 ไร่ 3 งาน 80 ตารางวา สำหรับที่ดินแปลงที่สามนี้ปรากฏว่า ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วให้ยกคำขอในส่วนนี้ โจทก์และจำเลยทั้งสองไม่อุทธรณ์ จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแปลงแรกและแปลงที่สอง ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 จึงเป็นการฟ้องเรียกเพื่อให้ได้ที่ดินพิพาทกลับคืนมาเป็นทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ซึ่งเป็นทายาท คดีของโจทก์จึงเป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้เนื้อที่ดินทั้งแปลงแรกและแปลงที่สองรวมกันแล้วได้ 4 ไร่ 11 ตารางวา ซึ่งตามฟ้องโจทก์ที่พิพาทราคาไร่ละ 44,000 บาท คำนวณแล้วได้เป็นเงิน 177,210 บาท ซึ่งเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทกัน เมื่อไม่เกิน 200,000 บาท คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 4 รับฟังพยานหลักฐานคลาดเคลื่อนนั้น เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 4 อันเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาในข้อนี้ของจำเลยทั้งสองมานั้นไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์มอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนโดยไม่ชอบ คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 597/2548 ของศาลชั้นต้นและคดีขาดอายุความนั้น เห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองในส่วนนี้ล้วนคัดลอกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองมาแบบคำต่อคำ เว้นแต่มีการแก้ไขชื่อของศาลจากศาลอุทธรณ์ภาค 4 เป็นศาลฎีกา เพื่อให้ตรงตามความจริงเท่านั้น ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ว่าไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนอย่างไรและควรวินิจฉัยอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยอีกเช่นกัน
อนึ่ง การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้รับส่วนแบ่งในที่ดินโฉนดเลขที่ 20409 เลขที่ดิน 27 สองในสามส่วน จำเลยที่ 1 มีส่วนแบ่งหนึ่งในสามส่วน แล้วพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมจดทะเบียนโอนโฉนดเลขที่ 20409 เลขที่ดิน 27 ระหว่างจำเลยทั้งสองเฉพาะส่วนของโจทก์สองในสามส่วนหาได้ไม่ เนื่องจากโจทก์ฟ้องว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินแปลงดังกล่าวครึ่งหนึ่งและขอให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินโฉนดเลขที่ 20409 เลขที่ดิน 27 ให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 4 ในส่วนนี้จึงเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ปัญหาข้อนี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความจะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246, 247
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนนิติกรรมจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 20409 เลขที่ดิน 27 ตำบลพิมาน อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ระหว่างจำเลยทั้งสองเฉพาะส่วนของโจทก์ครึ่งหนึ่ง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4