คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1313/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยพาผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปกอด จูบ ดูดหัวนมและจูบอวัยวะเพศ อันเป็นการพาไปเพื่อการอนาจาร โดยผู้เสียหายที่ 2 ไม่ยินยอม โดยไม่ได้บรรยายว่า มีการขู่เข็ญ หรือใช้กำลังประทุษร้ายหรือใช้อุบายหลอกลวง ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจาร ตาม ป.อ. มาตรา 284 วรรคแรก ที่โจทก์มีคำขอให้ลงโทษ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ปัญหานี้แม้คู่ความจะมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์ฎีกา แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279, 283 ทวิ, 284, 317, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง, 283 ทวิ วรรคสอง, 284 วรรคแรก, 317 วรรคแรก วรรคสาม (ที่ถูก ไม่ต้องปรับบทวรรคแรก) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารโดยเด็กไม่ยินยอม กับฐานพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจารและฐานกระทำอนาจารเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยใช้กำลังประทุษร้ายเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 284 วรรคแรก ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 6 ปี รวมจำคุก 9 ปี
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ไปเพื่อการอนาจารโดยเด็กไม่ยินยอมกับฐานพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจารและฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยใช้กำลังประทุษร้าย เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 279 วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90 ส่วนโทษและนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า เด็กหญิง พ. ผู้เสียหายที่ 2 เกิดวันที่ 1 มีนาคม 2537 เป็นบุตรของนาง ร. ผู้เสียหายที่ 1 กับนาย อ. ผู้เสียหายที่ 2 เรียนอยู่ที่โรงเรียนอนุบาลจังหวัดนครศรีธรรมราช ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และร่วมทำกิจกรรมพิเศษเป็นนักร้องของโรงเรียน ส่วนจำเลยเป็นครูที่โรงเรียนและเป็นหัวหน้าวงดนตรีที่ผู้เสียหายที่ 2 เป็นนักร้องอยู่ วันเกิดเหตุเป็นวันเสาร์ เวลา 13 นาฬิกา ผู้เสียหายที่ 2 เดินทางจากบ้านไปที่โรงเรียนอนุบาลจังหวัดนครศรีธรรมราชเพื่อร้องเพลงในงานแต่งงาน ระหว่างทางได้พบจำเลย จำเลยพาไปที่บ้านพักของจำเลย จากนั้นจำเลยพาผู้เสียหายที่ 2 กลับมาที่โรงเรียนและร้องเพลงในงานแต่งงานจนแล้วเสร็จ ต่อมาผู้เสียหายที่ 1 ได้ร้องทุกข์ต่อพันตำรวจโท อ. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครศรีธรรมราชว่า จำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 2 และพันตำรวจโท อ. เรียกตัวจำเลยมาแจ้งข้อกล่าวหาว่า กระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยใช้กำลังประทุษร้ายและกระทำอนาจารแก่ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแล พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารและพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร จำเลยให้การปฏิเสธ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังลงโทษจำเลยตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามาได้หรือไม่ จำเลยฎีกาว่า ผู้เสียหายทั้งสองเบิกความแตกต่างจากคำให้การชั้นสอบสวนนั้น เห็นว่า เป็นเพียงรายละเอียดและความแตกต่างกันตามที่จำเลยฎีกามิใช่ขัดแย้งกัน เพียงแต่เบิกความเสริมในรายละเอียดเพิ่มเติมจากที่ให้การในชั้นสอบสวนเท่านั้น ซึ่งขึ้นกับว่าพนักงานสอบสวนได้สอบถามผู้เสียหายทั้งสองแต่ละคนอย่างไรบ้าง ยังไม่อาจถือเป็นเหตุให้พยานโจทก์เสียไปถึงกับรับฟังลงโทษจำเลยไม่ได้
จำเลยฎีกาว่า การที่ผู้เสียหายที่ 2 จะแจ้งเหตุที่หมายเลข 191 แสดงว่าผู้เสียหายที่ 2 รู้และเข้าใจกฎหมายได้ดีว่าการกระทำของจำเลยเป็นเรื่องร้ายแรง แต่กลับนำสืบว่าผู้เสียหายที่ 1 ทราบเรื่องหลังเกิดเหตุนานนั้น เห็นว่า การที่ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นเด็กอายุเพียง 10 ปี ถูกจำเลยกระทำอนาจารตามฟ้อง ที่ผู้เสียหายที่ 2 เบิกความว่า จะโทรศัพท์แจ้ง 191 ก็เพื่อให้เจ้าพนักงานตำรวจมาช่วยผู้เสียหายที่ 2 ออกจากบ้านของจำเลยมิได้มีความหมายว่า ผู้เสียหายที่ 2 รู้ข้อกฎหมายเป็นอย่างดีตามที่จำเลยฎีกา สำหรับเรื่องที่ผู้เสียหายที่ 2 ไม่ได้บอกมารดาคือผู้เสียหายที่ 1 และบิดาในทันทีที่มารดาและบิดามารับออกจากงานแต่งงานที่ผู้เสียหายไปร้องเพลงในวันเกิดเหตุนั้น ผู้เสียหายที่ 2 เบิกความชัดเจนว่า เนื่องจากเกรงว่าตัวเองจะมีความผิดและบิดามารดาจะเสียใจ ซึ่งเป็นสิ่งปกติที่เด็กในวัยของผู้เสียหายที่ 2 จะคิดเช่นนั้นได้ มากกว่าที่จะบอกบิดามารดาเพื่อหวังผลในทางคดี ส่วนผู้เสียหายที่ 1 เบิกความว่า วันเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 2 ร้องกรี๊ดในรถยนต์ แต่ผู้เสียหายที่ 1 ผู้เป็นมารดาไม่ได้สอบถามความผิดปกตินี้ ก็หาใช่เป็นพิรุธแต่อย่างใดไม่ เพราะเรื่องเช่นนี้หากผู้เสียหายที่ 2 ไม่บอก ผู้เสียหายที่ 1 และบิดาย่อมไม่มีทางล่วงรู้ว่าเกิดเหตุแก่ผู้เสียหายที่ 2 อย่างไร เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 2 และพฤติการณ์ของจำเลยตามทางนำสืบของโจทก์ ปรากฏว่าผู้เสียหายที่ 2 ไปถึงโรงเรียนอันเป็นสถานที่จัดงานแต่งงานแล้ว ซึ่งจำเลยสามารถให้ผู้เสียหายที่ 2 รอที่โรงเรียนได้ไม่จำเป็นต้องพาผู้เสียหายที่ 2 ไปที่บ้านของจำเลย ทั้ง ๆ ที่ผู้เสียหายที่ 2 ก็ไม่ได้ช่วยขนเครื่องดนตรีให้จำเลยแต่อย่างใด แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยว่าวางแผนที่จะกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 2 หาใช่จำเลยกับผู้เสียหายที่ 2 ไปด้วยกันที่บ้านของจำเลยด้วยเหตุบังเอิญดังที่จำเลยฎีกา จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารด้วย ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามาต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยพาผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปกอด จูบ ดูดหัวนมและจูบอวัยวะเพศ อันเป็นการพาไปเพื่อการอนาจาร โดยผู้เสียหายที่ 2 ไม่ยินยอม โดยไม่ได้บรรยายว่ามีการขู่เข็ญ หรือใช้กำลังประทุษร้ายหรือใช้อุบายหลอกลวง ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 วรรคแรก ที่โจทก์มีคำขอให้ลงโทษไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ปัญหานี้แม้คู่ความจะมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์ฎีกา แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 วรรคแรก ส่วนโทษและนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8

Share