แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเช่าห้องพิพาท โดยมีข้อสัญญาว่าเพื่อใช้อยู่อาศัยและประกอบการค้า ห้องพิพาทอยู่ในทำเลการค้าจากห้องพิพาทไปข้างละ 5 เส้นล้วนเป็นห้องที่มีการค้าและอยู่อาศัยด้วย ไม่มีห้องอยู่อาศัยเฉยๆ จำเลยมีอาชีพค้าผ้าเสียภาษีร้านค้า มีป้ายโฆษณาว่าจำหน่ายสินค้าหน้าร้าน จำเลยจึงหาได้เช่าเพื่อเจตนาใช้เป็นที่อยู่อาศัยไม่ ไม่ได้รับความคุ้มครองจาก พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯลฯ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าห้องเลขที่ 528 หนึ่งห้องและเลขที่ 526ครึ่งห้องของโจทก์ อยู่ถนนภูผาภักดีตำบลบางนาค อำเภอเมืองนราธิวาสอันเป็นร้านค้า ตั้งอยู่ในทำเลการค้า สัญญาเช่าสิ้นอายุแล้วจำเลยไม่ยอมออกไปจากห้องพิพาท จึงขอให้บังคับขับไล่จำเลย
จำเลยต่อสู้ว่าเช่าห้องพิพาท เพื่ออยู่อาศัยและทำการค้าดังปรากฏตามสัญญาเช่าห้อง จำเลยจึงได้รับความคุ้มครองจากพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ
ศาลชั้นต้นเห็นว่าห้องพิพาทไม่ใช่เคหะพิพากษาให้ขับไล่
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าห้องพิพาทเป็นเคหะเพราะคู่สัญญาได้ตกลงว่าเช่าเพื่ออยู่อาศัยและทำการค้า และสภาพห้องพิพาทนั้น ชั้นบนใช้เป็นที่อยู่อาศัยชั้นล่างจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยด้วยก็ได้ จึงพิพากษากลับศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์เสีย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ตามสัญญาเช่าจำเลยเช่าเพื่ออยู่อาศัยและประกอบการค้า ห้องพิพาทเป็นห้องแถวไม้สองชั้น ปลูกอยู่ริมถนนภูผาภักดีในเขตเทศบาลเมือง จังหวัดนราธิวาส หน้าห้องมีป้ายว่า “ใจงาม” สองข้างถนนภูผาภักดีจากห้องพิพาทไปข้างละ 5 เส้นล้วนเป็นห้องที่มีการค้าและคนอยู่อาศัยด้วย ห้องพิพาทตามที่โจทก์นำสืบและศาลไปตรวจดูอยู่ในทำเลการค้า บริเวณห้องพิพาทไม่มีห้องอยู่อาศัยเฉย ๆ จำเลยมีอาชีพทางค้าขายผ้า เสียภาษีร้านค้าว่าประกอบการค้าผ้า หน้าร้านมีผ้ากันแดดเขียนไว้ว่า มีที่นอนหมอนมุ้งและผ้าต่าง ๆ จำหน่าย ศาลฎีกาเห็นว่าห้องพิพาทเป็นห้องสำหรับกิจการค้าจำเลยหาได้เช่าเพื่อเจตนาให้เป็นที่อยู่อาศัยไม่ จึงไม่ได้รับความคุ้มครองจากพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ พิพากษากลับศาลอุทธรณ์ บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น